ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า คิดอยู่นานว่าจะมาเขียนเล่าเรื่องและประสบการณ์ครั้งนี้ดีไหม เพราะการไปเวิร์คครั้งนี้มันมีเรื่องราวมากมายทั้งดีและไม่ดี ปะปนกันไป จนทำให้เราต้องคิดอยู่นาน แต่บังเอิญว่ามีเพื่อนร่วมคณะคนหนึ่ง กำลังจะไปที่เดียวกับเรา และเวลาเจอหน้ากัน เขาก็จะชอบเข้ามาถามคำถามมากมาย มันเลยทำให้เรารู้สึกว่า มันคงจะมีประโยชน์ถ้าสิ่งที่เราตอบเพื่อนไป สามารถช่วยหรือแนะนำคนอื่นๆได้เช่นกัน
เราก็เลยตัดสินใจเขียนกระทู้นี้ขึ้น เราอาจจะไม่ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่เราจะขอเล่าในเรื่องที่เราคิดว่ามีประโยชน์กับคนอื่นๆแทนละกัน นี่เป็นกระทู้แรกของเรา หากมีข้อผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยมาด้วยน่ะจ๊ะ !
จริงๆความคิดในการไปเวิร์คนี่แทบจะไม่ได้อยู่ในหัวเราเลยตอนแรก ต้องบอกก่อนว่า เราเรียนภาคอินเตอร์ เพราะฉะนั้นระยะเวลาการเปิด-ปิด เทอมจะไม่เหมือนกับภาคไทยอยู่แล้ว และเผอิญว่าปีที่เราไป ภาคไทยเพื่งเปลี่ยนระบบการ ปิด-เปิด เทอมใหม่ให้เหมือนกับภาคอินเตอร์ ก็เลยทำให้ในปีนั้นเด็กภาคไทยจะมีเวลาว่างหลายเดือนมากก่อนที่จะเปิดเทอม ใหม่ ในเดือน สิงหาคม เลยทำให้คนที่เรารู้จักส่วนใหญ่เลือกที่จะไปเวิร์คแทนที่จะอยู่เฉยๆว่างๆก่อนเปิดเทอม ประกอบกับเพื่อนสนิทเรามีบ้านอยู่ที่แคลิฟอเนียร์ เราก็เลยกะว่าจะบินไปเที่ยวด้วยตอนปิดเทอม แต่พอคุยกับพี่ชาย เขาก็เลยบอกว่า ให้ไปเวิร์คซะเลย ไหนๆ ก็ไปแล้ว ก็เลยแบบเอาวะ ไปก็ไป เลยตัดสินใจดู เอเจนซี่ ในเนต จากที่เพื่อนๆมารีวิวเอาไว้ ก็สุ่มๆเลือกมา โทรไปถามส่วนใหญ่เขาจะบอกว่า เต็มแล้ว เพราะ เราตัดสินใจช้า ไม่ค่อยมีที่ไหนเปิดช่วง summer เท่าไหร่ งานให้เลือกน้อย จนมาเจอที่ OEG (อันนี้เล่าตามความเป็นจริง ไม่ได้อวย หรือโฆษณาให้แต่ประการใด) ก็มีงานให้เลือกประมาณ สองสาม งานมั้ง ส่วนใหญ่เป็นแบบ house keeper ซึ่งแบบ โค-ต -ร ไม่อยากทำ 555 ก็เลยมีอยู่งานเดียวคือที่ MT.Rushmore National Memorial ซึ่งเป็นตำแหน่ง food&baverage เรทประมาณ 8 มั้ง ถ้าจำไม่ผิด ซึ่งมันก็แบบดีที่สุด ในตอนนั้น ก็เลยรีบสมัคร เพราะกลัวจะทำวีซ่าไม่ทัน จริงๆเคยไปเรียนที่นิวยอร์คอยู่เกือบสองปี แต่ไม่เคยไปรัฐอื่น โดยเฉพาะรัฐบ้านนอก แบบนี้มาก่อน 555 ก็เลยแบบ ก็ดี เป็นประสบการณ์ใหม่ๆดี (มั้ง) มีคนเคยถามว่าทำไมไปคนเดียว ไม่ชวนเพื่อนๆไปด้วย คือจริงๆก็แบบกลัวทะเลาะกัน 555 เพราะเราก็แบบเอาแต่ใจ นิสนึง 555 กลัวไปตีกัน กลับมาเสียเพื่อน ก็เลยไปคนเดียวดีกว่า
หลังจากนั้นเขาก็นัดมาสัมภาษณ์ ผ่าน skype กับนายจ้าง คำถามก็ทั่วไป ไม่มีไรมาก ถามแบบ ทำงานไหวไหม จะอยู่ได้รึเปล่า อะไรทำนองนั้น เราก็ใช้สกิลความ สตอเบอรี่ 555 ตอบอย่างกับนางงามจักรวาลโลก ผ่านฉลุย – ไม่รู้ ที่เขาให้ผ่านนี้ชอบ หรือ รำคาญ กันแน่ 55 หลังจากนั้น ก็รอๆ ไป ต้องชม oeg อยู่อย่างหนึ่ง ตรงที่เขาเดินเรื่องให้เราค่อนข้างเร็วมาก เราสมัครกลางมีนา รอเอกสาร ทั้งวีซ่า และ DS ค่อนข้างเร็วมาก และก็ไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องหนักใจเท่าไหร่เรื่องเอกสาร ปัญหาเดียวก่อนไปของเราคือ การจัดกระเป๋า 5555 คือเราเป็นอีบ้าหอบฟางมาก ทั้งที่บางอย่างไม่จำเป็น แต่ก็ยังอยากเอาไป เป็นชะนีเยอะๆนางหนึ่ง ประมาณนั้น เลยมีปัญหาในเรื่องนำ้หนักกระเป๋าแบบสุดๆ ชั่งแล้วชั่งอีก กว่าน้ำหนักจะพอดีได้ จัดเข้าจัดออกเกือบอาทิตย์ 555 คิดแล้วยังรู้สึก อนาถตัวเองเบาๆ
เราออกเดินทาง จำได้เลยว่า เป็นวันที่ 19 พฤษภาคม 2557 ไฟลต์บิน เช้ามากกกก คือ เช้าจริงๆ แล้วคืนก่อนวันบิน เพื่อนเราอุตส่าห์จัดวันเกิดให้ เราก็เลยจัดกันหนัก 55 ตอนเช้านี่เล่นเอาตื่นแทบไม่ไหว โดนพี่ชายบ่นมาตลอดทาง ออกแนว มุงส์จะไปเวิร์คหรือไปเป็นลำยองที่นั่น 55555
ตอนแรกนึกว่าจะต้องบินคนเดียว โชคดีที่มีพี่อีกคนบินพร้อมกัน พี่เขาเคยไปเวิร์คมาครั้งหนึ่งแล้ว เลยค่อนข้างมีประสบการณ์ เวลาเราไม่รู้อะไรก็จะถามพี่เขาตลอด ต้องขอบคุณพี่เขาด้วยที่ช่วยแนะนำแล้วก็ดูแลเป็นอย่างดี คนไทยที่ไปเวิร์คทุกคนจะเรียกพี่แกว่า เจ๊ใหญ่ 55 เพราะแกแก่สุดและชำ่ชองมากที่สุด 55 เราไม่รู้ว่าของคนอื่นเป็นยังไง แต่เรารู้สึกว่า เราโชคดีอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ได้เพื่อนเวิร์คดี ก่อนบินได้ประมาณสองอาทิตย์ เราขออีเมล์ แล้วก็ไลน์ ของเพื่อนที่ไปด้วยกันทั้งหมด มีอยู่ประมาน 13 คนได้ แล้วก็สร้างกรุ๊ปไลน์เอาไว้ เพื่อติดต่อกัน ก็คุยกันตลอด กลุ่มที่บินรอบแรกไปช่วงต้นเดือน ก็มีการถ่ายรูปห้องพัก สภาพแวดล้อม มาอัพเดทให้ฟังตลอดๆ แนะนำอย่างนั้นอย่างนี่ ซึ่งช่วยคนที่ไปรอบหลังๆได้เยอะมาก ตอนแรกก็คิดว่า กลับมาจะตัวใครตัวมัน แยกย้ายกันไป แต่ปรากฎว่า พวกเราสนิทกันมาก คุย แล้วก็นัดเจอกันตลอด จนถึงตอนนี้ผ่านมาได้เกือบ เจ็ดเดือนแล้ว กรุ๊ปไลน์ไม่เคยเงียบ 55 ตอนอยู่ที่นั่นก็ช่วยเหลือกันตลอด โดยเฉพาะเรื่องเม้าท์ ๆ นี่คนไทยถนัดนักแล 55
กลับมาต่อตอนบิน เราแวะที่ นาริตะ ที่ญี่ปุ่น เพื่อเปลี่ยนเครื่อง ก็ไม่มีอะไรมาก กินข้าวนิดหน่อยก็ขึ้นเครื่องยาวต่อไปลงที่ dallasรัฐ TEXAS ช่วงขายาวนี่สิ จะตายเอาจ้า เครื่องแบบตกหลุมอากาศบ่อยมาก ปกติเราไม่ใช่คนเมาเครื่องบินเลย นั่งเครื่องบินบ่อยมาก แต่ละรอบก็ปกติ แต่พอเจอรอบนี้ คือแบบ เมาสุดๆ เวียนหัวมาก แบบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่ออาเจียนหลายรอบมาก จะไ่ม่ไหว จนแอร์บนเครื่องต้องเอาน้ำขิงโซดามาให้ ค่อยดีขึ้นนิดหน่อย เล่นเอาเราหมดแรงไปเลย 55 พอถึง dallas เราต้องนั่งต่อลำเล็กไปลง rapid city ซึ่งอยู่ที่รัฐ south dakota ตอนนั้นคิดในใจเลยว่าจะรอดไหม เพราะเครื่องใหญ่ กุยังอ้วกแตกแบบไม่ยั้ง นี่เจอเครื่องเล็กๆอีก 555 ตอนนั้นหยิบยาดมขึ้นมาดมบ่อยมาก อีฝรั่งข้างๆมันคงแบบนี่กลิ่นไรหว่ะ เกิดมากูไม่เคยพบเจอ 555 แต่คือตอนนั้นไม่สนแล้ว ยัดยาดมทั้งแท่งเข้ารูจมูกอย่างไม่อายฟ้าดิน ประหนึ่งวิญญาณอาม่ามาเอง 5555 แต่คือก็ผ่านมาได้อย่างโอเค แถมได้เพื่อนตัวน้อยเพิ่มมาอีกคนตอนอยู่บนเครื่อง น่ารักมาก อย่างเก็บกลับมาบ้านด้วย 55
เราถึง rapid city เกือบสองทุ่ม ไฟลต์ดีเลย์ไปครึ่งชมได้ ก่อนมาเราอีเมลล์บอกนายจ้างเอาไว้เรียบร้อย ทำให้เขามารับเราได้ตรงวันและเวลา เรามาถึงพร้อมๆกับเด็กเวิร์คอีกสี่คนที่มาจาก จาไมก้า ตอนแรกเขาเงียบๆ ดูน่ากลัว เลยไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ มีอย่างหนึ่งที่ โคตรจะโกรธคือ พยากรณ์อากาศ 55 คือเมิงบอกกรูว่าไม่หนาว summer แล้ว แต่คือตอนเดินออกจากสนามบินมา ขากรูแข็งแทบก้าวไม่ออก เชคในมือถือ ขึ้น 11 องศา 55 คือไรร !! หลังจากนั้นก็คุยกับนายจ้างนิดหน่อย ไม่ได้คุยมากเพราะ นั่งหลัง ก็มองดูวิวไป มองไม่ค่อยชัดหรอก เพราะมันกลางคืน แต่ก็รู้สึกแบบ มันก็ไม่ได้บ้านนอกขนาดนั้นนะ 55 ยังพอมีห้าง มีซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่บ้าง อะไรบ้าง ขับรถประมาณ สี่สิบห้านาทีจากสนามบินก็มาถึง หอพัก !!
จะเป็นยังไงต่อไป โปรดติดตามตอนหน้า เร็วๆนี้ 555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น