วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

`พาไปเที่ยวประเทศที่คนไทยไม่ค่อยอยากไปกัน Yogyakarta, Indonesia

สวัสดีค่าาา ก่อนอื่นเลยที่จั่วหัวกระทู้แบบนี้ เพราะสังเกตเลยว่าเวลาบอกหรือชวนเพื่อนๆว่าจะไปอินโด นะ ทุกคนจะพูดว่า อินโด หรอ ทำไมไม่ไป ฮ่องกง เกาหลี หรือ ญี่ปุ่น หรืออะไรก็ได้ที่มันดูศิวิไลซ์กว่าอินโด อ่ะ ดูเป็นประเทศอิสลามน่ากลัวบ้าง กลัวไม่ได้กินหมูบ้าง ดูไม่เห็นจะมีอะไรให้ช๊อปเลย แต่พอชวนไปบาหลีนี่ไปนะ แต่ไม่อยากไปประเทศอินโดด แหมมมม บาหลีก็อินโดค่า า มะๆ วันนี้เราจะมาทำให้คนรู้จักที่เที่ยวๆใหม่ เพิ่มขึ้นน  มาเปิดใจ เปิดตัวไปกับเราเลยยยย ย ย เอาละคะ สรุปที่ๆเราไปมาคร่าวๆ นะคะ วันแรก  ---เข้าที่พักเฉยๆ ค่ะวันที่สอง--- บุโรพุทโธ (borobudur) -- กินข้าวร้านเห็ด (Jejamuran)-- kraton -- พระราชวังน้ำ (water castle or taman sari) -- สวนสาธารณะ (alun alun)วันที่สาม ---  ภูเขาไฟเมอราปี (merapi gunung) -- พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟเมอราปี (Museum gunung merapi) -- Aullen santalu -- กาแฟถ่านวันสุดท้าย --- shopping@malioboro street วิธีคิดเงิน รูเปียห์ เป็นไทยง่ายๆนะคะ ให้ตัดศูนย์สามตัว้ทายออกแล้ว เอาสามคูณเลขที่เหลือค่ะ เช่น 3,000 rp ตัดศูนย์สามตัวเหลือ 3 เอามาคูณ 3  = 9 บาทนั่นเองค่ะ มาพร้อมแล้ว ก็ไปกันเลยยยยย เม่าบัลเล่ต์ ชื่อสินค้า:   Yogyakarta คะแนน:      **CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว แก้ไขข้อความเมื่อ

REVIEW : 10 days in Belgium-Luxembourg ไปทำไรว่ะ ตามไปดูกัน ^^ (Part 2) Brussels

ต่อเนื่องจากกระทู้นี้นะครับ : http://pantip.com/topic/32763601 : REVIEW : 10 days in Belgium-Luxembourg ไปทำไรว่ะ ตามไปดูกัน ^^ Day 4: Brussel - พัก Brussel    วันที่ 4 ของการเดินทาง เช้านี้ น้องที่เที่ยวด้วยกันมา 3 วัน ต้องบินกลับ London แล้ว คราวนี้เราก็ต้องลุยเดี่ยวแล้วสิ ตื่นเต้นจัง ^^    วันนี้เราเดินทางจาก Antwerp ตรงไปที่ Brussels เลยครับ โดยสถานีรถไฟหลักๆของ Brussels จะมี 3 สถานี นะครับ คือ    1. Brussels-Noord - อันนี้เป็นสถานี เหนือ อยู่ทางทิศเหนือครับ ก่อนเข้าสถานี จะเป็นเหมือนย่านโคมแดง มีผู้หญิงนั่งอยู่ในตู้กระจกครับ    2. Brussels-Central - อันนี้สถานีกลาง จะใกล้กับ Grand Place มากครับ เดินประมาณ 5 นาที    3. Brussels-Zuid - อันนี้สถานีใต้ครับ ซึ่งถือเป็นสถานีที่ใหญ่ที่สุด เพราะ รถไฟที่วิ่งระหว่างประเทศมักจะตั้งต้นที่ สถานีนี้    คราวนี้เราจะเลือกลงที่สถานีไหนก็คง ขึ้นกับเรานะครับ ว่า รร ที่พักของเราอยู่ใกล้สถานีไหนมากกว่า หรือ เราจำเป็นต้องต่อรถไฟใต้ดิน (Metro) หรือรถราง(Tram)เพื่อไปสถานีอื่นต่ออีกหรือไม่ แต่ทั้ง 3 สถานี ก็สามารถเชื่อมลงสู่ระบบ Metro หรือ Tram ได้ทั้ง 3 แห่งนะครับ ตารางแบบชัดๆแนะนำให้หาที่ Brussels นะครับ จะดูชัดกว่านี้ครับ    คราวนี้มาว่าด้วยเรื่อง การคมนาคมขนส่ง ภายใน Brussels นะครับ    ระบบขนส่งมวลชนหลักๆ ก็จะใช้ Tram กับ Metro นะครับ ตามแผนที่ด้านบน อันนี้ไม่ได้ครบทุกสายนะครับ แต่เป็นสายหลักๆที่นักท่องเที่ยวจะใช้กัน จริงๆมีมากกว่านี้นะครับ โดยบัตรที่เราซื้อก็จะใช้ได้ทั้ง Tram และ Metro นะครับ โดยบัตรแบบนี้เราจะเรียกว่า Jump card นะครับ ซึ่งมีบัตรแบบไหนบ้าง มาดูกันนะครับ    - 1 trip jump card: 2.1 Euro - แบบนี้ คือ บัตรโดยสารรอบเดียว สามารถใช้ต่อรถเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางได้ภายใน 1 ชม ครับ    - 5 trips jump card: 8 Euro - เหมือนซื้อบัตรแบบเที่ยวเดียวพร้อมกัน 5 ใบครับ ราคาก็จะลงมาเหลือ เที่ยวละ 1.6 Euro (ผมไม่ได้ลอง)    - 10 trips jump card: 14 Euro - เหมือนซื้อบัตรแบบเที่ยวเดียวพร้อมกัน 10 ใบครับ ราคาก็จะลงมาเหลือ เที่ยวละ 1.4 Euro (ผมไม่ได้ลองด้วย)    - 1 days jump card: 7 Euro - ใช้ได้ใน 1 วันครับ จะหมดอายุ 4.00 ของวันถัดไป ใช้ได้ไม่จำกัดใน 1 วันครับ กี่รอบก็ได้นั่งไปเรย ผมเลือกใช้อันนี้ไป 1 วันครับ แล้วเด๋วลองไปดูแผนผมนะครับ ว่าทำไมผมถึงเลือกใช้นะครับ ซึ่งจริงๆแล้วสถานที่สำคัญๆใน Brussels นั้นสามารถเดินได้ถึงกันหมดครับ สำหรับคนเดินอึดๆอาจไม่จำเป็นต้องใช้รถโดยสารเลยก็ได้ครับ    สำหรับการซื้อ Jump card สามารถซื้อได้จากเครื่องขายหรือซื้อจากบูทขายก็ได้ครับ แต่บูทขายมักจะมีแค่ตามสถานีใหญ่ๆ ของผมซื้อจาก Noord station ครับ สะดวกกว่าซื้อกับตู้ครับ แต่คิวยาวอยู่เหมือนกันครับ บัตรที่ออกมาจะเป็นบัตรกระดาษเหมือนขึ้น Tram ที่ Gent เลยครับ เวลาจะใช้ก็ใส่เครื่องตอกก็เหมือนเครื่องบน Tram ที่ Gent เช่นกันครับ    เรื่องที่พัก ผมเองพักที่ รร Hotel de colonies อยู่ใกล้สถานี Brussel-Noord หรือสถานีเหนือนะครับ เดินประมาณ 5-7 นาที และยังอยู่ใกล้ Metro Rogier ประมาณ 100 เมตรครับ ใครพักแถวนี้ก็ดีนะครับ เพราะ สามารถเริ่มเดินที่ถนน Rue Neuve ซึ่งถือเป็นถนนสายชอปปิงหลักแถวนี้ครับ โดยเราจะเดินจากหัวถนนเดินลงไปเรื่อยๆจะเจอ Grand place ครับ (ถ้าเดินแบบไม่แวะประมาณ 12-15 นาทีครับ)    ไปดูกันดีกว่าครับว่าผมไปไหนมาบ้างใน Brussels เมืองที่เขาบอกว่าเป็นเมืองหลวงของยุโรปเมืองนี้ ^^    สถานที่ที่ผมเลือกไปในวันนี้ คือ    - Atomium    - Musee Horta    - Grand Place Area (Lower town)    - Royal Palace Area (Upper town)    จากสถานที่เหล่านี้ ผมก็ตัดสินใจซื้อ 1 day jump card ครับ เพราะจะได้นั่ง metro หรือ tram ได้ไม่จำกัด เผื่อมีการเปลี่ยนแผนกระทันหันก็จะได้ไม่ต้องมานั่งคำนวณค่าเดินทางครับ    ที่แรกครับ Atomium สถานที่นี้จะอยู่นอกเมืองหน่อยนะครับ    การเดินทาง: สถานีที่เราต้องการไป คือ Heizel (สุดสาย 7 สีเหลืองครับ) ลองดูจาก Tram + Metro map นะครับ ของผม ผมนั่ง Metro สาย 3 (สีเขียว) ที่ปลายทางเป็น Esplanade ครับ จะมีจุดที่เราสามารถเปลี่ยนขบวนไปสาย 7 ได้หลายสถานีครับ ผมเลือกเปลี่ยนที่สถานีแรกที่เปลี่ยนได้เลยครับ สถานี Van Praet ครับ แล้วก็นั่งยาว แต่ตอนลง ผมลงผิดครับ ดันลงที่สถานีก่อนสุดท้าย แต่เราก็จะได้ถ่ายรูป Atomium ตั้งแต่ไกลๆครับ    ถึงแล้วครับ Atomium    สามารถเลือกเข้าไปเดินชมใน Atomium ได้ครับ จะมีวิวมุมสูงรอบๆให้ดู และก็มีประวัติของ Atomium ครับ ว่าสร้างมาตอนไหน สร้างขึ้นมาเพื่ออะไรครับ แล้วก็มีเป็นเหมือนนิทรรศกาลย่อมๆโชว์พวกศิลปะเล็กๆน้อยๆด้วยครับ ภาพมุมสูง มองไปข้างๆเห็น Mini Europe ครับ    บรรยากาศภายใน และ Atomium จำลองครับ หลังเสร็จจาก Atomium ผมก็เดินทางกลับเข้าเมืองครับ ตอนแรกวางแผนว่าจะเดินทางไป Musee Horta เลยครับ แล้วค่อยเข้ามาเดินเล่นแถว Grand Place จนถึงค่ำมืด แต่ปรากฏว่า Musee Horta เปิดให้เข้าชมแค่ช่วง 14.00-17.30 --" เท่านั้นครับ เลยเปลี่ยนแผนไปเดินวนเล่นแถว Grand Place ก่อนซักรอบ แล้วค่อยไป Musee Horta ตอนบ่ายสองละกัน ครับ นั่งรถกลับทางเดิมครับ Grand Place จัตุรัสกลางเมือง Brussels ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป ด้วยอาคารโดยรอบนั้นล้วนแต่วิจิตรงดงามไปรอบทิศครับ การเดินทาง: Metro ลงสถานี Bourse หรือ Gare Centrale ก่อนถึงบริเวณจัตุรัสกลางเมือง จะเห็นลายการ์ตูนตามผนังตึก ได้ในบริเวณนี้ พอสมควรครับ Northeast corner Maison du Roi Le Pigeon La maison des Ducs de Brabant Everard't Serclaes Hotel de Ville ใกล้ๆกันครับ จะเจอโบสถ์ Eglise St-Nicolas Galeries St-Hubert ห้างในร่มที่เก่าแก่ ตั้งแต่ปี 1847 ครับ ไม่ได้เน้นขายแบรนด์หรูหรานะครับ ถ้าอยากชอปปิง Brand name ในเบลเยียมต้องนั่ง Metro ไปลงสถานี Louise แล้วไปเดินตรง Boulevard de Waterloo อันนี้เป็นน้ำจิ้มนะครับ (จริงๆ ถ่ายรูปไม่เก่ง --") เด๋วจะมีอีกเซ็ตครับ ผมมาถ่ายหลายรอบ เพราะ แสงคนละฝั่ง 555 เดินไปตรงตรอก Everard't Serclaes ครับ เดินตรงไปเรื่อยๆ เราจะไปหา หนูน้อยเบลเยียม กันครับ Manneken pis หลังจากเจอหนูน้อยยืนฉี่ ผมก็ตามหาน้องสาวของหนูน้อยต่อครับ ให้เราเดินไปที่ถนนเส้น Rue des Bouchers แล้วจะมีซอยตันอยู่ซอยหนึ่งครับ น้องสาวของหนูน้อย นั่งฉี่อยู่ที่สุดซอยครับ Jeanneke pis ชื่อสินค้า:   Belgium-Luxembourg คะแนน:      **CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

** มนุษย์เงินเดือนทำอะไรกันบ้างในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ **

เหล่ามนุษย์และยอดมนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย พวกท่านทำอะไรกันบ้างครับในวันหยุด....... เสาร์-อาทิตย์ ที่เหมือนวันว่างเปล่า(สำหรับหลายๆท่าน เหมือนผม)

10 วันในทิเบต : ความศรัทธาบนดินแดนหลังคาโลก ตามหาทางช้างเผือก Everest Base Camp ที่เกือบไม่ได้ไป (2)

มาต่อตอนที่ 2 ด้วยความรวดเร็ว ต้องรีบเขียนค่ะ เดี๋ยวลืมบางช่วงบางตอนไป ความเดิมต่อที่ 1 : เกี่ยวกับเกริ่นนำ การเตรียมตัวก่อนไป และรถไฟคืนแรกค่ะ 10 วันในทิเบต : ความศรัทธาบนดินแดนหลังคาโลก ตามหาทางช้างเผือก Everest Base Camp ที่เกือบไม่ได้ไป (1)http://pantip.com/topic/32766654 เราตื่นมาตอน 6 โมงเช้าเพราะปวดฉี่ เราพบว่า ห้องน้ำตอนเช้าตรู่นั้นสะอาดมาก คุ้มค่าแก่การตื่น แล้วก็กลับไปหลับต่อจนถึงเที่ยง ชาร์ตพลังเต็มที่ ประมาณบ่ายโมง ถึงสถานี Lanzhou ลืมบอกไปว่าเราสามารถแวะลงตามสถานีต่างๆได้ บางสถานี เช่นสถานีนี้ บรรยากาศซื้อขายของ อย่าถามหาคิว เพราะมันไม่มี อาหารที่ขายมีไก่ ข้าวโพด แป้งนึ่ง(คล้ายแป้งโรตี) แต่เราไม่สามารถแทรกตัวไปซื้อได้ทัน โดนเรียกขึ้นรถไฟก่อน เลยอดกินตั้งใจว่าจะไม่พลาดอีก วิวสองข้างทางจากเฉิงตูมาจนถึงซีหนิง เป็นภาพของชนบทของจีน บ้านชาวบ้านธรรมดาสร้างด้วยอิฐ ทำเกษตรกรรมปลูกกระหล่ำ ข้าวโพด(อันนี้เดาจากสิ่งที่เห็น) ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี เป็นสีเหลือง ส้ม สวยงาม ภูเขายังไม่สูงมากนัก มีเลี้ยงแกะประปราย วิวจากซิหนิง เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงคือ เราเริ่มเห็นภูเขามาขึ้น ด้านซ้ายมือของรถไฟ บางช่วงมีทะเลสาบใหญ่และสวยงาม มีออกซิเจนในตู้ที่นอน สามารถขอสายต่อได้ แต่ความสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ออกซิเจนก็จะพ่นออกมาเอง เนื่องจากว่างทั้งวัน วิวไม่ได้อลังการมากนัก จนเริ่มเดินสำรวจรถไฟ รถไฟที่เรานั่ง แบ่งเป็น - Soft sleeper มี 4 เตียง ใน 1 ห้อง ผู้คนส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยว อย่างเราได้อยู่กับนักท่องเที่ยวชาวไอร์แลนด์ 1 คู่ อีก 4-5 ห้องถัดไปเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่มากับกรุ๊ปทัวร์ ไม่ค่อยมาคนออกมานั่งเก้าอี้พับ บรรยากาศค่อนข้างสงบ มีประตูปิดและล็อคห้องได้ - Hard sleeper มี 6 เตียง ใน 1 ห้อง บรรยากาศค่อนข้างแออัด คนที่นอนตรงกลาง และด้านบนมักออกมา นั่งเก้าอี้พับหน้าห้อง ไม่มีประตูปิดห้อง ไม่กล้าถ่ายรูปมาให้ดู เดี๋ยวเค้าว่าเอา เพราะเราไม่ได้พักที่นี่ ส่วนมากเป็นคนจีน พูดคุยกันเสียงดังเป็นเรื่องธรรมดา ห้องน้ำค่อนข้างสกปรก คงเพราะคนเยอะกว่า - เก้าอี้นั่ง อันนี้คงสำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางไกล ไม่อยากนอน เค้าจะล็อคประตูระหว่างโบกี้ sleeper กับเก้าอี้นั่ง อาจเพราะกลัวคนที่นั่งเก้าอี้นั่งมาเข้าห้องน้ำ sleeper - สำหรับรถไฟขบวนเรา ไม่มี Dining room เลยอดไปนั่งชมวิว วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกเบื่อเลย นั่งๆนอนๆดูวิวไปเรื่อยๆ ส่วนอาหารการกิน ก็บะหมีกึ่งสำเร็จที่เตรียมมานั่นเอง เริ่มปรับตัวได้กับการไม่อาบน้ำเป็นวันที่ 2 ใช้ทิชชู่เปียกเช็ดตัวเอา คืนนี้เรานอนเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้จะตื่นมาดูวิว เนื่องจากอ่านรีวิวจากอินเตอร์เนตว่าวิวจะสวยตั้งแต่พรุ่งนี้(วันที่ 3 ของการนั่งรถไฟ) เรากิน Diamox วันละ 2 ครั้งเช้าเย็น ครั้งละเม็ด ตั้งแต่เมื่อวาน และกินต่อเนื่องทุกวัน วันนี้ไม่มีอาการ Altitude sickness สบายๆ มาถึงวันที่ 3 ความตั้งใจเดิมก่อนนอนคือ ตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น เตรียมกันเพื่อนร่วมทริปว่าเราจะตื่นเช้าตรู่กัน ปรากฏตื่นสายสุด เพื่อนต้องปลุก ตื่นมาด้วยความงัวเงียคว้ากล้องกระโดดจากเตียงมาถ่ายรูปเลย วิวสวยมากจริงๆ วิวจะเริ่มสวยตั้งแต่เกอเอ๋อมู่(Golmud) เป็นต้นมา เป็นลักษณะ ภูเขาสูง มีหิมะอยู่บนยอด รู้สึกเลยว่าธรรมชาตินี้ยิ่งใหญ่จริงๆ ลำธารตื้นๆเป็นน้ำแข็ง มีตัวจามรี แกะ ม้า ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เป็นกลุ่มๆเป็นระยะ พื้นหญ้า แอ่งน้ำเล็กๆเริ่มมีน้ำแข็งจับตัวให้เห็นเป็นพื้นขาวๆ มีกลุ่มหมู่บ้านเป็นระยะๆ หน้าต่างรถไฟเป็นแบบกว้าง เหมาะกับการชมวิว ภูเขาสูงมาก หมู่บ้านเริ่มมีธงสีๆของทิเบตให้เห็น ท้องฟ้าก็เป็นใจ เมฆเป็นกลุ่มๆลอยสวยมาก จากที่เคยบอกว่าโบกี้เรามีทัวร์ญี่ปุ่นมาพักค่อนข้างเยอะ เมื่อไหนผ่านวิวสวย จะได้ยิ่งเสียง สุโก่ยยยยๆๆ ก็จะรีบลุกจากเตียงบ้าง ที่นั่งบ้าง ไปถ่ายรูป ดีจริงๆ แดดแรงมาก แนะนำให้ใส่แว่นกันแดด และทาครีมกันแดดตั้งแต่ในรถ เห็นเมืองลาซาแล้วค่ะ มีชิงช้าสวรรค์ด้วย ถึงลาซาตอน 3 โมงครึ่ง สุขภาพยังแข็งแรงดีกันอยู่ ยังไม่มีอาการ Altitude sickness แต่มีเหนื่อยเล็กน้อยตอนลากกระเป๋า สถานีลาซาใหญ่โต เราพยายามเดินช้าๆเพราะกลัวเหนื่อยตามคำแนะนำในอินเตอร์เนต จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจ Passport และ Tibet permit เค้าจะพาเราไปที่อีกอาคารนึงทางขวามือเพื่อ scan passport หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาเพื่อเจอไกด์ของเรา เค้าต้อนรับโดยให้ผ้าพันคอสีขาว(Katak) ตามธรรมเนียมทิเบต รถที่จะพาเราไปเที่ยวตลอดทริปนี้ โรงแรมของเราชื่อ Yak hotel อยู่ค่อนข้างใจกลางเมือง เดินทางสะดวก หากินง่าย ใครจะมาเที่ยวทิเบตแนะนำโรงแรมนี้เลยค่ะ บรรยากาศหน้าโรงแรม Lobby โรงแรมตกแต่งสไตล์ทิเบต ทางเดินไปห้อง สภาพห้องโอเค มาตราฐานทิเบต มี wifi (แต่ใช้ไม่ค่อยได้) พูดถึงเรื่อง wifi ถ้าใครต้องการใช้ google หรือ facebook ให้โหลด app opendoor จะทำหน้าที่เหมือนเป็น web brower สามารถเข้าทั้งสองอันนั้นได้ เรากินข้าวกันที่ร้านใกล้ๆโรงแรม ชื่อร้าน Dunya อันกลางที่คล้ายๆเกี๊ยวซ่าคือ Cheese Momo ค่ะ เป็นแป้งห่อชีส จิ้มน้ำจิ้มที่ใส่เครื่องเทศนิดๆ อร่อยดีค่ะ สามารถเปลี่ยนใส่เป็นใส่ Yak,หมู,ไก่ ได้ตามใจชอบค่ะ แล้วเดินเล่น ไปร้าน Spin cafe มี wifi ให้เล่นฟรี เครื่องดื่มพอใช้ ไปแวะกินร้านเค้กชื่อ Snowland ควรไปหลังสามทุ่ม เพราะเค้าจะลดราคา ซื้อข้างบน จ่ายตังข้างล่าง ป้ายจะเขียนราคาเต็มไว้ ไม่มีป้ายบอกว่าลดราคา เค้าจะลดราคาให้เองตอนจ่ายตัง ไม่ต้องตกใจ เพราะเราตกใจมาแล้ว สภาพลาซากลางคืน คึกคักอยู่นะคะ คืนแรกที่มาถึงลาซา ตามธรรมเนียมห้ามอาบน้ำและสระผม ไกด์เราบอกว่าจะทำให้เป็นหวัดและเพิ่มโอกาสเกิด Altitude sickness แต่....เราทนไม่ไหวจริงๆ เพราะไม่ได้อาบจากบนรถไฟมาสองวันจึงตัดสินใน แหกกฏ แหวกม่านธรรมเนียม อาบน้ำ สระผม ผลปรากฏว่า สดชื่น สบายดี ไร้อาการ Altitude sickness จะขอกล่าวถึง Altitude sickness เล็กน้อย เท่าที่ได้ตามอ่านตามที่ต่างๆ - เกิดจากขึ้นที่สูง ที่มีปริมาณออกซิเจนน้อย - ไม่ขึ้นกับคน พูดง่ายๆว่าแล้วแต่ดวงว่าใครจะเป็น อย่างเรา ผู้หญิง อายุ 30 ปี ไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่ได้ฟิตร่างกายก่อนมา กินแค่ Diamox ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ตั้งแต่อยู่บนรถไฟ ไม่มีอาการเลยตลอดทริป - อาการมีตั้งแต่ปวดหัว ง่วงนอน เดินเซ เบลอ สมองบวม จนถึงตายได้ - ป้องกันคือต้องค่อยๆไต่ระดับความสูง เช่นเรา จากที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เลยเลือกที่จะนั่งรถไฟเพื่อปรับระดับความสูงไปเรื่อยๆ(แต่บางคนบอกไม่ช่วย เพื่อบนรถไฟก็ปรับปริมาณออกซิเจนให้เราสบายอยู่แล้ว) ไม่ควรขึ้นเกินวันละ 500-1000 เมตร - ทำอะไรช้าๆ แต่เราว่าจะช้าลงอัตโนมัติเพราะปริมาณออกซิเจนน้อยจะเหนื่อยง่ายอยู่แล้ว เช่นเดินขึ้นบันได 2 ชั้นเหนื่อย เป็นต้น - ดื่มน้ำมากๆ งดคาเฟอีน แอลกอฮอล์ - กิน Diamox เราเลือกกินวันละ 2 เม็ด ตามพี่ที่เคยไป มีผลข้างเคียงทำให้มือเท้าชาบ้าง นิดหน่อย - Diamox ห้ามกินในคนที่แพ้ Sulfa - ส่วนยาหงจิ่นเทียน เค้าเชื่อว่าจะช่วยลดโอกาสเกิด Altitude sickness เราไม่ได้กิน