เนื้อหาสรุปทริปเดินทางท่องเที่ยวด้วยจักรยานในชื่อเดียวกัน จากเวป thaimtb ครับ
Tin Mine
อารัมภกถา.....
หมาป่าเดียวดายนั้นมีหนังสือเป็น “เครื่องอยู่” มาตั้งแต่เด็กๆ
เด็กส่วนใหญ่มีการเล่น ขนม รายการโทรทัศน์เป็นเครื่องอยู่ เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน หมาป่าก็ไม่ต่างออกไป
สมัยนี้เด็กๆอาจมีเกมคอมพิวเตอร์เพิ่มเข้าไปในรายการ ด้วยว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คนรุ่นพ่อรุ่นแม่หมาป่าตอนเป็นเด็กเครื่องอยู่ก็คงไม่มีเจ้าสองรายการหลังที่ว่า
ในเวปจักรยานนี้ จักรยาน ต้องนับเป็นเครื่องอยู่ของสมาชิกหลายคน
เวลาผ่านไป โตขึ้นมาเครื่องอยู่ก็มีเยอะขึ้น แตกต่างกันไปแต่ละคน บางอย่างชอบอยู่สักพักแล้วก็เลิก บางอย่างก็อยู่กันยาวนาน
แต่หนังสือนั้นนับเป็นสิ่งสำคัญเสมอมาของหมาป่า
ไปไหนมาไหนก็มักมีหนังสือติดมือไว้อ่าน ยามกินข้าวคนเดียวก็ต้องมีหนังสือไว้อ่านไม่งั้นกินข้าวฝืดคอไม่รู้จะมองอะไร
หมาป่าเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ตอนเด็กยามปิดเทอมถ้าไม่ออกไปเล่นกับเด็กข้างบ้านหมาป่าก็ไม่เคยเหงาเพราะมีหนังสือเป็นเพื่อน อ่านไปจินตนาการไปกับตัวหนังสือ นึกภาพในหัวว่ามันจะเป็นยังไงหนอเจ้าสถานที่หรือผู้คนที่หนังสือบรรยายเอาไว้เนี่ย ตอนเด็กๆมีตังค์ไม่มากแต่หากเก็บออมไว้ซื้อหนังสือพ่อแม่หมาป่าไม่เคยบ่นว่าเป็นรายจ่ายที่สุรุ่ยสุร่าย มีญาติมีน้ามีป้าที่เขาอ่านหนังสือเขาก็ยินดีให้หยิบยืม ปิดเทอมใหญ่ไปเที่ยวบ้านญาติก็เที่ยวไปค้นหนังสือในบ้านเขาอ่าน เป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากครับ มีข้าวให้กินมีหนังสือให้อ่านก็อยู่ได้สบายดีแทบไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั่นแหละหมาป่าถึงเริ่มชอบดูหนัง ดูค่อนข้างเยอะแต่ก็มาทิ้งไปในภายหลัง
สมัยนี้ถ้าให้ไปดูหนังตามโรง ติดจะขี้เกียจเพราะรถติดเบื่อวนหาที่จอดรถ ต้องเป็นหนังที่อยากดูจริงๆนั่นแหละครับถึงจะย้ายตัวไปดู
คนรุ่นวัยหมาป่าเราผ่านยุคอนาลอคผ่านมาถึงยุคดิจิตัล การเปลี่ยนแปลงมันเยอะมาก เราเขียนจดหมายส่งหาเพื่อนตอนปิดเทอม เดี๋ยวนี้เราใช้อีเมล์ใช้โปรแกรมแชท หรือทางกายภาพเองเรายังเป็นรุ่นที่ได้สัมผัสหน้าหนาวในกรุงเทพ หนาวแบบหนาวจริงๆ พูดแล้วมีควันออกมาจากปาก ตอนบ่ายในห้องเรียนเด็กๆรุ่นหมาป่าก็ยังต้องใส่เสื้อหนาว กลับบ้านแม่จะต้มน้ำใส่กาใบใหญ่เพื่อเอามาผสมน้ำอาบในกระถัง ตักราดตัวทีละขันเพราะสมัยโน้นที่บ้านไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น หนาวนานหนาวจริงมิใช่เย็นๆแค่อาทิตย์สองอาทิตย์แบบทุกวันนี้ คงด้วยว่าบ้านเมืองมีป่ามีเขา และในกรุงเทพยังไม่ระดมติดแอร์ปล่อยความร้อนออกมานอกบ้านกันจนเมืองร้อนอุ้ม
คนรุ่นเดียวกับหมาป่าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จะคล้ายกันนะครับ หมาป่ามีอารมณ์โหยหาและจินตนาการถึงบ้านเมืองสมัยอดีต ภาษาอังกฤษที่เขาบอกว่า Nostalgia Nostalgic และยังลามไปถึงสมัยก่อนที่หมาป่าเกิดด้วยซ้ำ เวลาเห็นภาพในหนังสือที่เป็นบ้านเมืองยุคโบราณ จะเป็นภาพถ่ายภาพวาดสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มักทำให้หมาป่าสงสัยเสมอว่าตอนที่ป่าทางเหนือยังเขียวครึ้ม เดินทางขึ้นไปใช้เวลากันเป็นเดือน กรุงเทพที่เลยจากราชดำเนินไปก็เป็นทุ่งนา มีปลูกต้นหมาก พายเรือไปมาหาสู่กัน วันคืนที่ยังไม่มีแสงจากไฟฟ้ามากวนสายตาในคืนเดือนมืดที่เห็นดาวพราวเต็มฟ้านั้นมันเป็นเช่นไร หรือเอายุคใกล้ๆเช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองหรือหลังสงครามเลิกไม่นาน ยุคที่พ่อแม่หมาป่าจีบกันตอนพศ. 2508 เห็นภาพถ่ายบ้านเมืองการแต่งตัวของผู้คน ฟังเพลงเก่าๆที่คนยุคนั้นฟังกัน อ่านตัวหนังสือที่บรรยายไว้หมาป่านึกเสียใจนิดๆที่เกิดไม่ทัน ถ้าได้เห็น ได้อยู่ ได้กลิ่น ได้สัมผัสก็คงจะดี
เล่ามานี้ด้วยธาตุของหมาป่าคงพอเรียกตัวเองได้ว่าเป็นนักอ่าน ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือ แต่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นนักอ่าน อีกทั้งเป็นนักฝันโหยหาอดีต
แต่แปลกครับนักอ่านคนนี้ตอนเด็กๆกลับไม่เคยอ่านงานของอาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนศิลปินแห่งชาติปี 2534 เลย คุณลุงอาจินต์สร้างชื่อเสียงมาจากเรื่องสั้นชุด “เหมืองแร่” ตอนเด็กๆพ่อหมาป่าจะซื้อหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ติดมือเข้าบ้านมาเสมอเสมอ ฟ้าเมืองไทยที่มีคุณลุงอาจินต์เป็นบรรณาธิการและหุ้นส่วนเจ้าของ ท่านเป็นเจ้าของวลี “ตะกร้าสร้างนักเขียนมาทุกยุค” ในช่วงหลังท่านออกหนังสือฟ้าเมืองทองเป็นรายเดือนเสริมขึ้นมา พ่อหมาป่าก็ซื้อประจำ ตอนนั้นเหมือนว่าชื่ออาจินต์ดูเขียนเรื่องที่ไกลตัว เหมืองแร่อะไรก็ไม่รู้ เวลาท่านตอบจดหมายก็ดูว่าท่านซีเรียสเพราะท่านเป็นบรรณาธิการ อ่านงานของนักเขียนท่านอื่นสนุกกว่า งานของนิมิตร ภูมิถาวร งานของละเอียด นวลปลั่ง งานของคำพูน บุญทวี กลับเป็นงานที่หมาป่าอ่านแล้วจดจำ
โน่นแหละครับล่วงเข้าหมาป่าอายุ 37 ปี เมื่อปี 2548 ตอนที่บริษัทสร้างหนัง GTH โดยคุณจิระ มะลิกุลเป็นผู้กำกับผู้เขียนบทได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง มหา’ลัยเหมืองแร่ โดยซื้อลิขสิทธิ์จากเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ มีการทำประชาสัมพันธ์ มีบทสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง และมีการตีพิมพ์หนังสือชุดเหมืองแร่ขึ้นมาอีกครั้ง...ครั้งนี้แหละที่ทำให้หมาป่าได้หยิบเรื่องเหมืองแร่ซื้อมาอ่าน อ่านหลังจากไปดูหนังมาแล้ว....โอ้ว คุณลุงอาจินต์ครับ หมาป่านี้โง่จริงๆ งานชั้นเลิศระดับนี้หลงโง่ไม่อ่านได้อย่างไรก็ไม่รู้ ท่านเขียนดีสมกับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติโดยแท้ ตัวละคอนที่มีพื้นฐานมาจากตัวตนจริงของคนในเหมือง เรื่องราวของพวกเขา “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวอาจินต์ นิสิตรีไทร์ปีสองจากวิศวะจุฬาฯ “ไอ้ไข่” “นายฝรั่ง” “พี่จอน” “โกต๋อง” “พี่ก้อง” “พี่เหวง” “พี่บุญยิ่ง” “ตาหมา” เหล่านี้ล้วนทำให้ชีวิตในเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง ที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จับอยู่ในหัวใจของหมาป่า
มันคงจะเสริมด้วยภาพของหนังมหา’ลัยเหมืองแร่ ที่กลั่นจากความตั้งใจของทีมงานผู้สร้างยิ่งทำให้จินตนาการถึงชีวิตของอาจินต์ ของผู้คน ของตัวเหมืองแร่ที่ดูราวกับมีชีวิตไปด้วย ยิ่งชัดเจนแจ่มจ้าในหัวของหมาป่า ด้วยมิเพียงพึ่งตัวหนังสือถ่ายเดียว หมาป่าเคยได้ยินว่าฝรั่งผู้ชายบางคนชอบดูหนังเรื่อง God Father ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหยิบยกคำพูดเรื่องราวในหนังมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ชีวิตลูกผู้ชาย เหมือนถ้าเป็นคนแบบนี้พูดอะไรขึ้นมาคนประเภทเดียวก็จะต่อกันติด หมาป่าเองก็คล้ายคลึงกัน ช่วงปีหลังจากดูหนังและอ่านหนังสือเรื่องเหมืองแร่ หมาป่าจะหยิบหนังจากกล่อง DVD Box Set ที่ลงทุนซื้อไว้มาดูอยู่เนืองๆ ตัวหนังสือนั้นก็หยิบมาอ่านทวนอยู่บ่อยๆ หมาป่าไม่ได้เป็น God Father Mania แต่เป็น Tin Mine Mania แทน
ปี 2492 ถึง ปี 2496 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่กี่ปี ทางหลวงสายใต้ยังไม่ได้สร้างต่อเนื่องกันครบทุกจังหวัดบางช่วงคงยังไม่ได้ลาดยางแต่เป็นถนนฝุ่น หรือถนนโคลนยามฝนตก คนอยู่พังงาก็คงบอก “กรุงเทพไกลเหลือเกิน” คนอยู่กรุงเทพก็บอกเหมือนกันว่า “พังงาไกลเหลือเกิน”.....
“ความเป็นเมืองไกลสุดหล้าฟ้าเขียวขนาดไปตายหรือไปสาบสูญนั้น กฏหมายโบราณปักป้ายไว้ว่า “แม้นว่าชายไปเมืองจีน ไปทะเล ไปพังงา ไปชวาฟ้าแดง ดังนั้นไซร้ ท่านให้หญิงยู่ (คอย) ท่า 3 ปี ถ้าพ้น 3 ปีแล้ว หญิงมีชู้ผัว มิให้มีโทษแก่หญิงชายนั้นเลย”” (อาจินต์ : อดีตของคนอื่น)....
“อยากจะให้ท่านได้เห็นฝนที่ตกพรำมา 10 วันติดต่อกัน มันตกเสียจนเราเบื่อและรำคาญ ไม่อยากให้ชีวิตของเราต้องเห็นฝนอีกเลย ภูเขาเปียกจนละลาย ใบไม้โงหัวไม่ขึ้น ดินเละเป็นโคลน แต่เราก็ต้องเดินไปทำงานและเดินกลับ เราทำเหมืองแร่จะสนิมสร้อยไม่ได้ เราต้องทำ เราต้องกิน” (อาจินต์ : เหมืองแร่โชว์)...
“เมื่อเพื่อนๆ ถามว่า ข้าพเจ้าหายหน้าไปอยู่ไหนมาหลายปี ข้าพเจ้าตอบเขาอย่างหยิ่งๆ ว่าไปปักษ์ใต้ ไปอยู่เหมืองแร่ ขณะที่ตอบเขานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเลือดทุกหยดในร่างกายแล่นพล่านเหมือนกำลังออกแรงทำงานอยู่ในโรงเหล็ก เหมือนกำลังเกร็งข้อมือยกของหนัก เหมือนกำลังเดินหอบอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนเปรี้ยงกลางป่าทราย เหมือนกำลังยกคอเสื้อขึ้นปิดหูเดินฝ่าหมอกตอนเช้ามืด...หมอกซึ่งเกาะเปียกโชกบนหมวก บนเกือก และปลายขนตา
เหล่านั้นเป็นชีวิตขรุขระในเหมืองดีบุก เหมืองซึ่งข้าพเจ้าคลุกคลีกับมันจนไม่รู้ว่าจะเล่าถึงมันด้วยเรื่องอะไร และจะเล่าถึงเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก เหมืองดีบุกสำหรับข้าพเจ้าไม่ใช่วิธีบอริ่งแร่...ไม่ใช่วิธีแก้เครื่องยนต์...ไม่ใช่วิธีเดินเรือขุด...แต่มันหมายถึงภาพภูเขาสลับซับซ้อน ซึ่งยอดของมันหายไปในหมอกสีเทา หมายถึงหมู่บ้านเล็กๆที่ชาวบ้านเกิด แก่ เจ็บ ตายกันอยู่ในนั้น หมายถึงความหนาวยะเยือกที่ไอเย็นจากหินผากระจายออกมาภายหลังฝนหนักๆ และกลับกลายเป็นร้อนอ้าวเมื่อได้แสงแดด หมายถึงโลกอีกลูกหนึ่ง เป็นคนละโลกกับภายนอกโดยมีระยะทางนับสิบๆ กิโล จากทางหลวงแผ่นดินเป็นพรมแดน
ข้าพเจ้ายังนึกเห็นภาพวันคืนซึ่งมืดมัวด้วยเค้าฝนอยู่เป็นนิจ ควันจากปล่องไฟเรือขุดเป็นสีหม่นลอยเนิบๆ ขึ้นไปตัดกับสีเทาทึบของท้องฟ้า ภาพเรือขุดซึ่งเคลื่อนที่ช้าๆ จนเหมือนกับจะอยู่นิ่ง ท่ามกลางความมืดมัวเหล่านี้ เมื่อมองดูมันด้วยสายตาของคนพลัดบ้านมันก็ไม่ผิดอะไรกับวัตถุที่ไร้ชีวิต แน่นิ่งอยู่ในความยาวนานของกาลเวลา ราวกับจะไม่มีวันคืบคลานไปถึงที่หมาย เช่นเดียวกับชีวิตพเนจรซึ่งเหน็ดเหนื่อยแล้ว แต่ยังต้องดิ้นรนต่อไปในความไม่รู้
ตลอดวันคืนเหล่านั้นมีหลายเวลาที่เรือขุดชำรุด คนงานต้องเร่งมือกันทำงานซ่อมแซมทั้งกลางวันหรือกลางคืน หลายเวลาที่น้ำบ่ามาจากภูเขาทำลายทำนบกั้นน้ำท้ายเรือ ตลอดจนสะพานและถนนสำหรับลำเลียงสิ่งของและแร่ดิบวินาศไปหมด คนงานถูกระดมกันซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ท่ามกลางอันตรายจากน้ำที่เชี่ยวอย่างดุร้ายจากตลิ่งที่จะพังลงมาได้ทุกๆ วินาที และจากฟ้าซึ่งผ่าลงมาตามยอดไม้สูงๆ พวกเด็กลูกมือมีหน้าที่ผลัดกันไปซื้อกาแฟและขนมที่ทำด้วยแป้งหยาบๆ ปนน้ำตาลรวมทั้งบุหรี่หรือยาฉุนมวนใบจาก ห่อผ้าขาวม้ายัดใส่อกเสื้อเพื่อกันเปียกฝน ของเหล่านี้นำมาส่งเป็นเสบียงแก่พวกผู้ใหญ่ที่ทำงานกันเหมือนมด จนกระดูกสันหลังด้านชา ไม่มีเสียงลั่นไว้สำหรับบิดขี้เกียจ ข้าพเจ้าอยู่กับงานเหล่านี้ อยู่กับคนเหล่านี้ และอยู่กับอากาศรอบตัวเช่นนี้มา จนนึกรักและเกลียดมันไปพร้อมกัน” (อาจินต์ : แผลเล็ก)...
“เราต้องทำงาน ข้าพเจ้าชอบจริงๆ ไอ้ประโยคที่ว่า “เกิดเป็นคนต้องทำงาน เพื่อสำแดงให้โลกประจักษ์ว่าเรามิใช่คนหยิบโหย่ง เกียจคร้าน” ในเหมืองแร่เราต้องทำงานหนัก ใครได้โอเวอร์ไทม์คนนั้นคือดารา ใครตัวเปื้อนน้ำมันหรือโคลนตมคนนั้นสง่า” (อาจินต์ : ปรัชญาหน้าควันไฟ)
ที่ตัดยกข้อความข้างบนมานั้น ลุงอาจินต์บรรยายให้เราได้คิดตามว่าชีวิตในเหมืองแร่นั้นเป็นเช่นไร
ที่นั่นไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีฮอลิเดย์ ไม่มีวาเคชั่น คนทำงานในส่วนออฟฟิศของเหมืองแร่ได้หยุดวันอาทิตย์ แต่ในส่วนการทำงานของเรือขุดจะทำต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา วันละ 3 ผลัด ต่อเนื่องกันไปทั้งวันทั้งคืนกลางแดดที่ร้อนอุ้ม หรือฝนที่สาดกระหน่ำ และความหนาวเย็นไอชื้นของหมอกในตำบลที่ไกลจากกรุงเทพจนแทบไม่มีจุดบอกตำแหน่งบนแผนที่ ตื่นเช้าสลัดความง่วงและเดินฝ่าความเย็นมากินกาแฟกับอาหารเช้าแล้วก็ต้องออกไปทำงานจนหมดกะ กลับมาหาเหล้าที่ร้านกาแฟเพื่อให้มันปลอบประโลมความเหงาและขับไล่ความเมื่อยล้า เข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำสิ่งเดียวกันซ้ำไปอีกจนครบสัปดาห์จนได้กำหนดเปลี่ยนกะไปทำตอนหัวค่ำ ผ่านไปอีกสัปดาห์ก็เปลี่ยนกะไปทำยามดึกจนถึงรุ่งเช้า...สี่ปีที่ลุงอาจินต์ใช้ชีวิตกรำอยู่ที่นั่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น