สามารเช็คอิน Online + เลือกที่นั่ง ล่วงหน้า 24 ชมค่ะ
เราทำ online ขากลับ บนรถไฟเพราะใช้ pocket Wifi แล้วก็ขอให้โรงแรมที่พิมพ์ให้ (จ่ายตังค์ 0.50 สวิสฟรัง)
เพราะถ้าทำ check in ล่วงหน้าเค้าบอกให้พิมพ์ตั๋วไป
แต่พอไปโหลดกระเป๋า เจ้าหน้าก็พิมพ์ตั๋วให้เราใหม่ โดยขอดูแค่ Passport โดยไม่ดูใบที่เราพิมพ์มาเลย
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557
หมาป่าเดียวดาย...ตามรอย "เหมืองแร่" ทรัพย์จากพื้นแผ่นดิน สินแห่งชีวิต ของอาจินต์ ปัญจพรรค์
เนื้อหาสรุปทริปเดินทางท่องเที่ยวด้วยจักรยานในชื่อเดียวกัน จากเวป thaimtb ครับ
Tin Mine
อารัมภกถา.....
หมาป่าเดียวดายนั้นมีหนังสือเป็น “เครื่องอยู่” มาตั้งแต่เด็กๆ
เด็กส่วนใหญ่มีการเล่น ขนม รายการโทรทัศน์เป็นเครื่องอยู่ เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน หมาป่าก็ไม่ต่างออกไป
สมัยนี้เด็กๆอาจมีเกมคอมพิวเตอร์เพิ่มเข้าไปในรายการ ด้วยว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คนรุ่นพ่อรุ่นแม่หมาป่าตอนเป็นเด็กเครื่องอยู่ก็คงไม่มีเจ้าสองรายการหลังที่ว่า
ในเวปจักรยานนี้ จักรยาน ต้องนับเป็นเครื่องอยู่ของสมาชิกหลายคน
เวลาผ่านไป โตขึ้นมาเครื่องอยู่ก็มีเยอะขึ้น แตกต่างกันไปแต่ละคน บางอย่างชอบอยู่สักพักแล้วก็เลิก บางอย่างก็อยู่กันยาวนาน
แต่หนังสือนั้นนับเป็นสิ่งสำคัญเสมอมาของหมาป่า
ไปไหนมาไหนก็มักมีหนังสือติดมือไว้อ่าน ยามกินข้าวคนเดียวก็ต้องมีหนังสือไว้อ่านไม่งั้นกินข้าวฝืดคอไม่รู้จะมองอะไร
หมาป่าเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ตอนเด็กยามปิดเทอมถ้าไม่ออกไปเล่นกับเด็กข้างบ้านหมาป่าก็ไม่เคยเหงาเพราะมีหนังสือเป็นเพื่อน อ่านไปจินตนาการไปกับตัวหนังสือ นึกภาพในหัวว่ามันจะเป็นยังไงหนอเจ้าสถานที่หรือผู้คนที่หนังสือบรรยายเอาไว้เนี่ย ตอนเด็กๆมีตังค์ไม่มากแต่หากเก็บออมไว้ซื้อหนังสือพ่อแม่หมาป่าไม่เคยบ่นว่าเป็นรายจ่ายที่สุรุ่ยสุร่าย มีญาติมีน้ามีป้าที่เขาอ่านหนังสือเขาก็ยินดีให้หยิบยืม ปิดเทอมใหญ่ไปเที่ยวบ้านญาติก็เที่ยวไปค้นหนังสือในบ้านเขาอ่าน เป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากครับ มีข้าวให้กินมีหนังสือให้อ่านก็อยู่ได้สบายดีแทบไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั่นแหละหมาป่าถึงเริ่มชอบดูหนัง ดูค่อนข้างเยอะแต่ก็มาทิ้งไปในภายหลัง
สมัยนี้ถ้าให้ไปดูหนังตามโรง ติดจะขี้เกียจเพราะรถติดเบื่อวนหาที่จอดรถ ต้องเป็นหนังที่อยากดูจริงๆนั่นแหละครับถึงจะย้ายตัวไปดู
คนรุ่นวัยหมาป่าเราผ่านยุคอนาลอคผ่านมาถึงยุคดิจิตัล การเปลี่ยนแปลงมันเยอะมาก เราเขียนจดหมายส่งหาเพื่อนตอนปิดเทอม เดี๋ยวนี้เราใช้อีเมล์ใช้โปรแกรมแชท หรือทางกายภาพเองเรายังเป็นรุ่นที่ได้สัมผัสหน้าหนาวในกรุงเทพ หนาวแบบหนาวจริงๆ พูดแล้วมีควันออกมาจากปาก ตอนบ่ายในห้องเรียนเด็กๆรุ่นหมาป่าก็ยังต้องใส่เสื้อหนาว กลับบ้านแม่จะต้มน้ำใส่กาใบใหญ่เพื่อเอามาผสมน้ำอาบในกระถัง ตักราดตัวทีละขันเพราะสมัยโน้นที่บ้านไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น หนาวนานหนาวจริงมิใช่เย็นๆแค่อาทิตย์สองอาทิตย์แบบทุกวันนี้ คงด้วยว่าบ้านเมืองมีป่ามีเขา และในกรุงเทพยังไม่ระดมติดแอร์ปล่อยความร้อนออกมานอกบ้านกันจนเมืองร้อนอุ้ม
คนรุ่นเดียวกับหมาป่าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จะคล้ายกันนะครับ หมาป่ามีอารมณ์โหยหาและจินตนาการถึงบ้านเมืองสมัยอดีต ภาษาอังกฤษที่เขาบอกว่า Nostalgia Nostalgic และยังลามไปถึงสมัยก่อนที่หมาป่าเกิดด้วยซ้ำ เวลาเห็นภาพในหนังสือที่เป็นบ้านเมืองยุคโบราณ จะเป็นภาพถ่ายภาพวาดสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มักทำให้หมาป่าสงสัยเสมอว่าตอนที่ป่าทางเหนือยังเขียวครึ้ม เดินทางขึ้นไปใช้เวลากันเป็นเดือน กรุงเทพที่เลยจากราชดำเนินไปก็เป็นทุ่งนา มีปลูกต้นหมาก พายเรือไปมาหาสู่กัน วันคืนที่ยังไม่มีแสงจากไฟฟ้ามากวนสายตาในคืนเดือนมืดที่เห็นดาวพราวเต็มฟ้านั้นมันเป็นเช่นไร หรือเอายุคใกล้ๆเช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองหรือหลังสงครามเลิกไม่นาน ยุคที่พ่อแม่หมาป่าจีบกันตอนพศ. 2508 เห็นภาพถ่ายบ้านเมืองการแต่งตัวของผู้คน ฟังเพลงเก่าๆที่คนยุคนั้นฟังกัน อ่านตัวหนังสือที่บรรยายไว้หมาป่านึกเสียใจนิดๆที่เกิดไม่ทัน ถ้าได้เห็น ได้อยู่ ได้กลิ่น ได้สัมผัสก็คงจะดี
เล่ามานี้ด้วยธาตุของหมาป่าคงพอเรียกตัวเองได้ว่าเป็นนักอ่าน ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือ แต่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นนักอ่าน อีกทั้งเป็นนักฝันโหยหาอดีต
แต่แปลกครับนักอ่านคนนี้ตอนเด็กๆกลับไม่เคยอ่านงานของอาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนศิลปินแห่งชาติปี 2534 เลย คุณลุงอาจินต์สร้างชื่อเสียงมาจากเรื่องสั้นชุด “เหมืองแร่” ตอนเด็กๆพ่อหมาป่าจะซื้อหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ติดมือเข้าบ้านมาเสมอเสมอ ฟ้าเมืองไทยที่มีคุณลุงอาจินต์เป็นบรรณาธิการและหุ้นส่วนเจ้าของ ท่านเป็นเจ้าของวลี “ตะกร้าสร้างนักเขียนมาทุกยุค” ในช่วงหลังท่านออกหนังสือฟ้าเมืองทองเป็นรายเดือนเสริมขึ้นมา พ่อหมาป่าก็ซื้อประจำ ตอนนั้นเหมือนว่าชื่ออาจินต์ดูเขียนเรื่องที่ไกลตัว เหมืองแร่อะไรก็ไม่รู้ เวลาท่านตอบจดหมายก็ดูว่าท่านซีเรียสเพราะท่านเป็นบรรณาธิการ อ่านงานของนักเขียนท่านอื่นสนุกกว่า งานของนิมิตร ภูมิถาวร งานของละเอียด นวลปลั่ง งานของคำพูน บุญทวี กลับเป็นงานที่หมาป่าอ่านแล้วจดจำ
โน่นแหละครับล่วงเข้าหมาป่าอายุ 37 ปี เมื่อปี 2548 ตอนที่บริษัทสร้างหนัง GTH โดยคุณจิระ มะลิกุลเป็นผู้กำกับผู้เขียนบทได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง มหา’ลัยเหมืองแร่ โดยซื้อลิขสิทธิ์จากเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ มีการทำประชาสัมพันธ์ มีบทสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง และมีการตีพิมพ์หนังสือชุดเหมืองแร่ขึ้นมาอีกครั้ง...ครั้งนี้แหละที่ทำให้หมาป่าได้หยิบเรื่องเหมืองแร่ซื้อมาอ่าน อ่านหลังจากไปดูหนังมาแล้ว....โอ้ว คุณลุงอาจินต์ครับ หมาป่านี้โง่จริงๆ งานชั้นเลิศระดับนี้หลงโง่ไม่อ่านได้อย่างไรก็ไม่รู้ ท่านเขียนดีสมกับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติโดยแท้ ตัวละคอนที่มีพื้นฐานมาจากตัวตนจริงของคนในเหมือง เรื่องราวของพวกเขา “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวอาจินต์ นิสิตรีไทร์ปีสองจากวิศวะจุฬาฯ “ไอ้ไข่” “นายฝรั่ง” “พี่จอน” “โกต๋อง” “พี่ก้อง” “พี่เหวง” “พี่บุญยิ่ง” “ตาหมา” เหล่านี้ล้วนทำให้ชีวิตในเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง ที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จับอยู่ในหัวใจของหมาป่า
มันคงจะเสริมด้วยภาพของหนังมหา’ลัยเหมืองแร่ ที่กลั่นจากความตั้งใจของทีมงานผู้สร้างยิ่งทำให้จินตนาการถึงชีวิตของอาจินต์ ของผู้คน ของตัวเหมืองแร่ที่ดูราวกับมีชีวิตไปด้วย ยิ่งชัดเจนแจ่มจ้าในหัวของหมาป่า ด้วยมิเพียงพึ่งตัวหนังสือถ่ายเดียว หมาป่าเคยได้ยินว่าฝรั่งผู้ชายบางคนชอบดูหนังเรื่อง God Father ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหยิบยกคำพูดเรื่องราวในหนังมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ชีวิตลูกผู้ชาย เหมือนถ้าเป็นคนแบบนี้พูดอะไรขึ้นมาคนประเภทเดียวก็จะต่อกันติด หมาป่าเองก็คล้ายคลึงกัน ช่วงปีหลังจากดูหนังและอ่านหนังสือเรื่องเหมืองแร่ หมาป่าจะหยิบหนังจากกล่อง DVD Box Set ที่ลงทุนซื้อไว้มาดูอยู่เนืองๆ ตัวหนังสือนั้นก็หยิบมาอ่านทวนอยู่บ่อยๆ หมาป่าไม่ได้เป็น God Father Mania แต่เป็น Tin Mine Mania แทน
ปี 2492 ถึง ปี 2496 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่กี่ปี ทางหลวงสายใต้ยังไม่ได้สร้างต่อเนื่องกันครบทุกจังหวัดบางช่วงคงยังไม่ได้ลาดยางแต่เป็นถนนฝุ่น หรือถนนโคลนยามฝนตก คนอยู่พังงาก็คงบอก “กรุงเทพไกลเหลือเกิน” คนอยู่กรุงเทพก็บอกเหมือนกันว่า “พังงาไกลเหลือเกิน”.....
“ความเป็นเมืองไกลสุดหล้าฟ้าเขียวขนาดไปตายหรือไปสาบสูญนั้น กฏหมายโบราณปักป้ายไว้ว่า “แม้นว่าชายไปเมืองจีน ไปทะเล ไปพังงา ไปชวาฟ้าแดง ดังนั้นไซร้ ท่านให้หญิงยู่ (คอย) ท่า 3 ปี ถ้าพ้น 3 ปีแล้ว หญิงมีชู้ผัว มิให้มีโทษแก่หญิงชายนั้นเลย”” (อาจินต์ : อดีตของคนอื่น)....
“อยากจะให้ท่านได้เห็นฝนที่ตกพรำมา 10 วันติดต่อกัน มันตกเสียจนเราเบื่อและรำคาญ ไม่อยากให้ชีวิตของเราต้องเห็นฝนอีกเลย ภูเขาเปียกจนละลาย ใบไม้โงหัวไม่ขึ้น ดินเละเป็นโคลน แต่เราก็ต้องเดินไปทำงานและเดินกลับ เราทำเหมืองแร่จะสนิมสร้อยไม่ได้ เราต้องทำ เราต้องกิน” (อาจินต์ : เหมืองแร่โชว์)...
“เมื่อเพื่อนๆ ถามว่า ข้าพเจ้าหายหน้าไปอยู่ไหนมาหลายปี ข้าพเจ้าตอบเขาอย่างหยิ่งๆ ว่าไปปักษ์ใต้ ไปอยู่เหมืองแร่ ขณะที่ตอบเขานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเลือดทุกหยดในร่างกายแล่นพล่านเหมือนกำลังออกแรงทำงานอยู่ในโรงเหล็ก เหมือนกำลังเกร็งข้อมือยกของหนัก เหมือนกำลังเดินหอบอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนเปรี้ยงกลางป่าทราย เหมือนกำลังยกคอเสื้อขึ้นปิดหูเดินฝ่าหมอกตอนเช้ามืด...หมอกซึ่งเกาะเปียกโชกบนหมวก บนเกือก และปลายขนตา
เหล่านั้นเป็นชีวิตขรุขระในเหมืองดีบุก เหมืองซึ่งข้าพเจ้าคลุกคลีกับมันจนไม่รู้ว่าจะเล่าถึงมันด้วยเรื่องอะไร และจะเล่าถึงเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก เหมืองดีบุกสำหรับข้าพเจ้าไม่ใช่วิธีบอริ่งแร่...ไม่ใช่วิธีแก้เครื่องยนต์...ไม่ใช่วิธีเดินเรือขุด...แต่มันหมายถึงภาพภูเขาสลับซับซ้อน ซึ่งยอดของมันหายไปในหมอกสีเทา หมายถึงหมู่บ้านเล็กๆที่ชาวบ้านเกิด แก่ เจ็บ ตายกันอยู่ในนั้น หมายถึงความหนาวยะเยือกที่ไอเย็นจากหินผากระจายออกมาภายหลังฝนหนักๆ และกลับกลายเป็นร้อนอ้าวเมื่อได้แสงแดด หมายถึงโลกอีกลูกหนึ่ง เป็นคนละโลกกับภายนอกโดยมีระยะทางนับสิบๆ กิโล จากทางหลวงแผ่นดินเป็นพรมแดน
ข้าพเจ้ายังนึกเห็นภาพวันคืนซึ่งมืดมัวด้วยเค้าฝนอยู่เป็นนิจ ควันจากปล่องไฟเรือขุดเป็นสีหม่นลอยเนิบๆ ขึ้นไปตัดกับสีเทาทึบของท้องฟ้า ภาพเรือขุดซึ่งเคลื่อนที่ช้าๆ จนเหมือนกับจะอยู่นิ่ง ท่ามกลางความมืดมัวเหล่านี้ เมื่อมองดูมันด้วยสายตาของคนพลัดบ้านมันก็ไม่ผิดอะไรกับวัตถุที่ไร้ชีวิต แน่นิ่งอยู่ในความยาวนานของกาลเวลา ราวกับจะไม่มีวันคืบคลานไปถึงที่หมาย เช่นเดียวกับชีวิตพเนจรซึ่งเหน็ดเหนื่อยแล้ว แต่ยังต้องดิ้นรนต่อไปในความไม่รู้
ตลอดวันคืนเหล่านั้นมีหลายเวลาที่เรือขุดชำรุด คนงานต้องเร่งมือกันทำงานซ่อมแซมทั้งกลางวันหรือกลางคืน หลายเวลาที่น้ำบ่ามาจากภูเขาทำลายทำนบกั้นน้ำท้ายเรือ ตลอดจนสะพานและถนนสำหรับลำเลียงสิ่งของและแร่ดิบวินาศไปหมด คนงานถูกระดมกันซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ท่ามกลางอันตรายจากน้ำที่เชี่ยวอย่างดุร้ายจากตลิ่งที่จะพังลงมาได้ทุกๆ วินาที และจากฟ้าซึ่งผ่าลงมาตามยอดไม้สูงๆ พวกเด็กลูกมือมีหน้าที่ผลัดกันไปซื้อกาแฟและขนมที่ทำด้วยแป้งหยาบๆ ปนน้ำตาลรวมทั้งบุหรี่หรือยาฉุนมวนใบจาก ห่อผ้าขาวม้ายัดใส่อกเสื้อเพื่อกันเปียกฝน ของเหล่านี้นำมาส่งเป็นเสบียงแก่พวกผู้ใหญ่ที่ทำงานกันเหมือนมด จนกระดูกสันหลังด้านชา ไม่มีเสียงลั่นไว้สำหรับบิดขี้เกียจ ข้าพเจ้าอยู่กับงานเหล่านี้ อยู่กับคนเหล่านี้ และอยู่กับอากาศรอบตัวเช่นนี้มา จนนึกรักและเกลียดมันไปพร้อมกัน” (อาจินต์ : แผลเล็ก)...
“เราต้องทำงาน ข้าพเจ้าชอบจริงๆ ไอ้ประโยคที่ว่า “เกิดเป็นคนต้องทำงาน เพื่อสำแดงให้โลกประจักษ์ว่าเรามิใช่คนหยิบโหย่ง เกียจคร้าน” ในเหมืองแร่เราต้องทำงานหนัก ใครได้โอเวอร์ไทม์คนนั้นคือดารา ใครตัวเปื้อนน้ำมันหรือโคลนตมคนนั้นสง่า” (อาจินต์ : ปรัชญาหน้าควันไฟ)
ที่ตัดยกข้อความข้างบนมานั้น ลุงอาจินต์บรรยายให้เราได้คิดตามว่าชีวิตในเหมืองแร่นั้นเป็นเช่นไร
ที่นั่นไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีฮอลิเดย์ ไม่มีวาเคชั่น คนทำงานในส่วนออฟฟิศของเหมืองแร่ได้หยุดวันอาทิตย์ แต่ในส่วนการทำงานของเรือขุดจะทำต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา วันละ 3 ผลัด ต่อเนื่องกันไปทั้งวันทั้งคืนกลางแดดที่ร้อนอุ้ม หรือฝนที่สาดกระหน่ำ และความหนาวเย็นไอชื้นของหมอกในตำบลที่ไกลจากกรุงเทพจนแทบไม่มีจุดบอกตำแหน่งบนแผนที่ ตื่นเช้าสลัดความง่วงและเดินฝ่าความเย็นมากินกาแฟกับอาหารเช้าแล้วก็ต้องออกไปทำงานจนหมดกะ กลับมาหาเหล้าที่ร้านกาแฟเพื่อให้มันปลอบประโลมความเหงาและขับไล่ความเมื่อยล้า เข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำสิ่งเดียวกันซ้ำไปอีกจนครบสัปดาห์จนได้กำหนดเปลี่ยนกะไปทำตอนหัวค่ำ ผ่านไปอีกสัปดาห์ก็เปลี่ยนกะไปทำยามดึกจนถึงรุ่งเช้า...สี่ปีที่ลุงอาจินต์ใช้ชีวิตกรำอยู่ที่นั่น
Tin Mine
อารัมภกถา.....
หมาป่าเดียวดายนั้นมีหนังสือเป็น “เครื่องอยู่” มาตั้งแต่เด็กๆ
เด็กส่วนใหญ่มีการเล่น ขนม รายการโทรทัศน์เป็นเครื่องอยู่ เป็นอย่างนี้มานานแสนนาน หมาป่าก็ไม่ต่างออกไป
สมัยนี้เด็กๆอาจมีเกมคอมพิวเตอร์เพิ่มเข้าไปในรายการ ด้วยว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คนรุ่นพ่อรุ่นแม่หมาป่าตอนเป็นเด็กเครื่องอยู่ก็คงไม่มีเจ้าสองรายการหลังที่ว่า
ในเวปจักรยานนี้ จักรยาน ต้องนับเป็นเครื่องอยู่ของสมาชิกหลายคน
เวลาผ่านไป โตขึ้นมาเครื่องอยู่ก็มีเยอะขึ้น แตกต่างกันไปแต่ละคน บางอย่างชอบอยู่สักพักแล้วก็เลิก บางอย่างก็อยู่กันยาวนาน
แต่หนังสือนั้นนับเป็นสิ่งสำคัญเสมอมาของหมาป่า
ไปไหนมาไหนก็มักมีหนังสือติดมือไว้อ่าน ยามกินข้าวคนเดียวก็ต้องมีหนังสือไว้อ่านไม่งั้นกินข้าวฝืดคอไม่รู้จะมองอะไร
หมาป่าเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ตอนเด็กยามปิดเทอมถ้าไม่ออกไปเล่นกับเด็กข้างบ้านหมาป่าก็ไม่เคยเหงาเพราะมีหนังสือเป็นเพื่อน อ่านไปจินตนาการไปกับตัวหนังสือ นึกภาพในหัวว่ามันจะเป็นยังไงหนอเจ้าสถานที่หรือผู้คนที่หนังสือบรรยายเอาไว้เนี่ย ตอนเด็กๆมีตังค์ไม่มากแต่หากเก็บออมไว้ซื้อหนังสือพ่อแม่หมาป่าไม่เคยบ่นว่าเป็นรายจ่ายที่สุรุ่ยสุร่าย มีญาติมีน้ามีป้าที่เขาอ่านหนังสือเขาก็ยินดีให้หยิบยืม ปิดเทอมใหญ่ไปเที่ยวบ้านญาติก็เที่ยวไปค้นหนังสือในบ้านเขาอ่าน เป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากครับ มีข้าวให้กินมีหนังสือให้อ่านก็อยู่ได้สบายดีแทบไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนั่นแหละหมาป่าถึงเริ่มชอบดูหนัง ดูค่อนข้างเยอะแต่ก็มาทิ้งไปในภายหลัง
สมัยนี้ถ้าให้ไปดูหนังตามโรง ติดจะขี้เกียจเพราะรถติดเบื่อวนหาที่จอดรถ ต้องเป็นหนังที่อยากดูจริงๆนั่นแหละครับถึงจะย้ายตัวไปดู
คนรุ่นวัยหมาป่าเราผ่านยุคอนาลอคผ่านมาถึงยุคดิจิตัล การเปลี่ยนแปลงมันเยอะมาก เราเขียนจดหมายส่งหาเพื่อนตอนปิดเทอม เดี๋ยวนี้เราใช้อีเมล์ใช้โปรแกรมแชท หรือทางกายภาพเองเรายังเป็นรุ่นที่ได้สัมผัสหน้าหนาวในกรุงเทพ หนาวแบบหนาวจริงๆ พูดแล้วมีควันออกมาจากปาก ตอนบ่ายในห้องเรียนเด็กๆรุ่นหมาป่าก็ยังต้องใส่เสื้อหนาว กลับบ้านแม่จะต้มน้ำใส่กาใบใหญ่เพื่อเอามาผสมน้ำอาบในกระถัง ตักราดตัวทีละขันเพราะสมัยโน้นที่บ้านไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น หนาวนานหนาวจริงมิใช่เย็นๆแค่อาทิตย์สองอาทิตย์แบบทุกวันนี้ คงด้วยว่าบ้านเมืองมีป่ามีเขา และในกรุงเทพยังไม่ระดมติดแอร์ปล่อยความร้อนออกมานอกบ้านกันจนเมืองร้อนอุ้ม
คนรุ่นเดียวกับหมาป่าไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จะคล้ายกันนะครับ หมาป่ามีอารมณ์โหยหาและจินตนาการถึงบ้านเมืองสมัยอดีต ภาษาอังกฤษที่เขาบอกว่า Nostalgia Nostalgic และยังลามไปถึงสมัยก่อนที่หมาป่าเกิดด้วยซ้ำ เวลาเห็นภาพในหนังสือที่เป็นบ้านเมืองยุคโบราณ จะเป็นภาพถ่ายภาพวาดสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มักทำให้หมาป่าสงสัยเสมอว่าตอนที่ป่าทางเหนือยังเขียวครึ้ม เดินทางขึ้นไปใช้เวลากันเป็นเดือน กรุงเทพที่เลยจากราชดำเนินไปก็เป็นทุ่งนา มีปลูกต้นหมาก พายเรือไปมาหาสู่กัน วันคืนที่ยังไม่มีแสงจากไฟฟ้ามากวนสายตาในคืนเดือนมืดที่เห็นดาวพราวเต็มฟ้านั้นมันเป็นเช่นไร หรือเอายุคใกล้ๆเช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองหรือหลังสงครามเลิกไม่นาน ยุคที่พ่อแม่หมาป่าจีบกันตอนพศ. 2508 เห็นภาพถ่ายบ้านเมืองการแต่งตัวของผู้คน ฟังเพลงเก่าๆที่คนยุคนั้นฟังกัน อ่านตัวหนังสือที่บรรยายไว้หมาป่านึกเสียใจนิดๆที่เกิดไม่ทัน ถ้าได้เห็น ได้อยู่ ได้กลิ่น ได้สัมผัสก็คงจะดี
เล่ามานี้ด้วยธาตุของหมาป่าคงพอเรียกตัวเองได้ว่าเป็นนักอ่าน ไม่กล้าเรียกตัวเองว่าหนอนหนังสือ แต่เรียกได้เต็มปากว่าเป็นนักอ่าน อีกทั้งเป็นนักฝันโหยหาอดีต
แต่แปลกครับนักอ่านคนนี้ตอนเด็กๆกลับไม่เคยอ่านงานของอาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนศิลปินแห่งชาติปี 2534 เลย คุณลุงอาจินต์สร้างชื่อเสียงมาจากเรื่องสั้นชุด “เหมืองแร่” ตอนเด็กๆพ่อหมาป่าจะซื้อหนังสือฟ้าเมืองไทยรายสัปดาห์ติดมือเข้าบ้านมาเสมอเสมอ ฟ้าเมืองไทยที่มีคุณลุงอาจินต์เป็นบรรณาธิการและหุ้นส่วนเจ้าของ ท่านเป็นเจ้าของวลี “ตะกร้าสร้างนักเขียนมาทุกยุค” ในช่วงหลังท่านออกหนังสือฟ้าเมืองทองเป็นรายเดือนเสริมขึ้นมา พ่อหมาป่าก็ซื้อประจำ ตอนนั้นเหมือนว่าชื่ออาจินต์ดูเขียนเรื่องที่ไกลตัว เหมืองแร่อะไรก็ไม่รู้ เวลาท่านตอบจดหมายก็ดูว่าท่านซีเรียสเพราะท่านเป็นบรรณาธิการ อ่านงานของนักเขียนท่านอื่นสนุกกว่า งานของนิมิตร ภูมิถาวร งานของละเอียด นวลปลั่ง งานของคำพูน บุญทวี กลับเป็นงานที่หมาป่าอ่านแล้วจดจำ
โน่นแหละครับล่วงเข้าหมาป่าอายุ 37 ปี เมื่อปี 2548 ตอนที่บริษัทสร้างหนัง GTH โดยคุณจิระ มะลิกุลเป็นผู้กำกับผู้เขียนบทได้สร้างภาพยนตร์เรื่อง มหา’ลัยเหมืองแร่ โดยซื้อลิขสิทธิ์จากเรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ มีการทำประชาสัมพันธ์ มีบทสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง และมีการตีพิมพ์หนังสือชุดเหมืองแร่ขึ้นมาอีกครั้ง...ครั้งนี้แหละที่ทำให้หมาป่าได้หยิบเรื่องเหมืองแร่ซื้อมาอ่าน อ่านหลังจากไปดูหนังมาแล้ว....โอ้ว คุณลุงอาจินต์ครับ หมาป่านี้โง่จริงๆ งานชั้นเลิศระดับนี้หลงโง่ไม่อ่านได้อย่างไรก็ไม่รู้ ท่านเขียนดีสมกับตำแหน่งศิลปินแห่งชาติโดยแท้ ตัวละคอนที่มีพื้นฐานมาจากตัวตนจริงของคนในเหมือง เรื่องราวของพวกเขา “ข้าพเจ้า” ที่เป็นตัวอาจินต์ นิสิตรีไทร์ปีสองจากวิศวะจุฬาฯ “ไอ้ไข่” “นายฝรั่ง” “พี่จอน” “โกต๋อง” “พี่ก้อง” “พี่เหวง” “พี่บุญยิ่ง” “ตาหมา” เหล่านี้ล้วนทำให้ชีวิตในเหมืองกระโสม ทิน เดรดยิง ที่อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา จับอยู่ในหัวใจของหมาป่า
มันคงจะเสริมด้วยภาพของหนังมหา’ลัยเหมืองแร่ ที่กลั่นจากความตั้งใจของทีมงานผู้สร้างยิ่งทำให้จินตนาการถึงชีวิตของอาจินต์ ของผู้คน ของตัวเหมืองแร่ที่ดูราวกับมีชีวิตไปด้วย ยิ่งชัดเจนแจ่มจ้าในหัวของหมาป่า ด้วยมิเพียงพึ่งตัวหนังสือถ่ายเดียว หมาป่าเคยได้ยินว่าฝรั่งผู้ชายบางคนชอบดูหนังเรื่อง God Father ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า และหยิบยกคำพูดเรื่องราวในหนังมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ชีวิตลูกผู้ชาย เหมือนถ้าเป็นคนแบบนี้พูดอะไรขึ้นมาคนประเภทเดียวก็จะต่อกันติด หมาป่าเองก็คล้ายคลึงกัน ช่วงปีหลังจากดูหนังและอ่านหนังสือเรื่องเหมืองแร่ หมาป่าจะหยิบหนังจากกล่อง DVD Box Set ที่ลงทุนซื้อไว้มาดูอยู่เนืองๆ ตัวหนังสือนั้นก็หยิบมาอ่านทวนอยู่บ่อยๆ หมาป่าไม่ได้เป็น God Father Mania แต่เป็น Tin Mine Mania แทน
ปี 2492 ถึง ปี 2496 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกไม่กี่ปี ทางหลวงสายใต้ยังไม่ได้สร้างต่อเนื่องกันครบทุกจังหวัดบางช่วงคงยังไม่ได้ลาดยางแต่เป็นถนนฝุ่น หรือถนนโคลนยามฝนตก คนอยู่พังงาก็คงบอก “กรุงเทพไกลเหลือเกิน” คนอยู่กรุงเทพก็บอกเหมือนกันว่า “พังงาไกลเหลือเกิน”.....
“ความเป็นเมืองไกลสุดหล้าฟ้าเขียวขนาดไปตายหรือไปสาบสูญนั้น กฏหมายโบราณปักป้ายไว้ว่า “แม้นว่าชายไปเมืองจีน ไปทะเล ไปพังงา ไปชวาฟ้าแดง ดังนั้นไซร้ ท่านให้หญิงยู่ (คอย) ท่า 3 ปี ถ้าพ้น 3 ปีแล้ว หญิงมีชู้ผัว มิให้มีโทษแก่หญิงชายนั้นเลย”” (อาจินต์ : อดีตของคนอื่น)....
“อยากจะให้ท่านได้เห็นฝนที่ตกพรำมา 10 วันติดต่อกัน มันตกเสียจนเราเบื่อและรำคาญ ไม่อยากให้ชีวิตของเราต้องเห็นฝนอีกเลย ภูเขาเปียกจนละลาย ใบไม้โงหัวไม่ขึ้น ดินเละเป็นโคลน แต่เราก็ต้องเดินไปทำงานและเดินกลับ เราทำเหมืองแร่จะสนิมสร้อยไม่ได้ เราต้องทำ เราต้องกิน” (อาจินต์ : เหมืองแร่โชว์)...
“เมื่อเพื่อนๆ ถามว่า ข้าพเจ้าหายหน้าไปอยู่ไหนมาหลายปี ข้าพเจ้าตอบเขาอย่างหยิ่งๆ ว่าไปปักษ์ใต้ ไปอยู่เหมืองแร่ ขณะที่ตอบเขานั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเลือดทุกหยดในร่างกายแล่นพล่านเหมือนกำลังออกแรงทำงานอยู่ในโรงเหล็ก เหมือนกำลังเกร็งข้อมือยกของหนัก เหมือนกำลังเดินหอบอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนเปรี้ยงกลางป่าทราย เหมือนกำลังยกคอเสื้อขึ้นปิดหูเดินฝ่าหมอกตอนเช้ามืด...หมอกซึ่งเกาะเปียกโชกบนหมวก บนเกือก และปลายขนตา
เหล่านั้นเป็นชีวิตขรุขระในเหมืองดีบุก เหมืองซึ่งข้าพเจ้าคลุกคลีกับมันจนไม่รู้ว่าจะเล่าถึงมันด้วยเรื่องอะไร และจะเล่าถึงเรื่องอะไรเป็นเรื่องแรก เหมืองดีบุกสำหรับข้าพเจ้าไม่ใช่วิธีบอริ่งแร่...ไม่ใช่วิธีแก้เครื่องยนต์...ไม่ใช่วิธีเดินเรือขุด...แต่มันหมายถึงภาพภูเขาสลับซับซ้อน ซึ่งยอดของมันหายไปในหมอกสีเทา หมายถึงหมู่บ้านเล็กๆที่ชาวบ้านเกิด แก่ เจ็บ ตายกันอยู่ในนั้น หมายถึงความหนาวยะเยือกที่ไอเย็นจากหินผากระจายออกมาภายหลังฝนหนักๆ และกลับกลายเป็นร้อนอ้าวเมื่อได้แสงแดด หมายถึงโลกอีกลูกหนึ่ง เป็นคนละโลกกับภายนอกโดยมีระยะทางนับสิบๆ กิโล จากทางหลวงแผ่นดินเป็นพรมแดน
ข้าพเจ้ายังนึกเห็นภาพวันคืนซึ่งมืดมัวด้วยเค้าฝนอยู่เป็นนิจ ควันจากปล่องไฟเรือขุดเป็นสีหม่นลอยเนิบๆ ขึ้นไปตัดกับสีเทาทึบของท้องฟ้า ภาพเรือขุดซึ่งเคลื่อนที่ช้าๆ จนเหมือนกับจะอยู่นิ่ง ท่ามกลางความมืดมัวเหล่านี้ เมื่อมองดูมันด้วยสายตาของคนพลัดบ้านมันก็ไม่ผิดอะไรกับวัตถุที่ไร้ชีวิต แน่นิ่งอยู่ในความยาวนานของกาลเวลา ราวกับจะไม่มีวันคืบคลานไปถึงที่หมาย เช่นเดียวกับชีวิตพเนจรซึ่งเหน็ดเหนื่อยแล้ว แต่ยังต้องดิ้นรนต่อไปในความไม่รู้
ตลอดวันคืนเหล่านั้นมีหลายเวลาที่เรือขุดชำรุด คนงานต้องเร่งมือกันทำงานซ่อมแซมทั้งกลางวันหรือกลางคืน หลายเวลาที่น้ำบ่ามาจากภูเขาทำลายทำนบกั้นน้ำท้ายเรือ ตลอดจนสะพานและถนนสำหรับลำเลียงสิ่งของและแร่ดิบวินาศไปหมด คนงานถูกระดมกันซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ท่ามกลางอันตรายจากน้ำที่เชี่ยวอย่างดุร้ายจากตลิ่งที่จะพังลงมาได้ทุกๆ วินาที และจากฟ้าซึ่งผ่าลงมาตามยอดไม้สูงๆ พวกเด็กลูกมือมีหน้าที่ผลัดกันไปซื้อกาแฟและขนมที่ทำด้วยแป้งหยาบๆ ปนน้ำตาลรวมทั้งบุหรี่หรือยาฉุนมวนใบจาก ห่อผ้าขาวม้ายัดใส่อกเสื้อเพื่อกันเปียกฝน ของเหล่านี้นำมาส่งเป็นเสบียงแก่พวกผู้ใหญ่ที่ทำงานกันเหมือนมด จนกระดูกสันหลังด้านชา ไม่มีเสียงลั่นไว้สำหรับบิดขี้เกียจ ข้าพเจ้าอยู่กับงานเหล่านี้ อยู่กับคนเหล่านี้ และอยู่กับอากาศรอบตัวเช่นนี้มา จนนึกรักและเกลียดมันไปพร้อมกัน” (อาจินต์ : แผลเล็ก)...
“เราต้องทำงาน ข้าพเจ้าชอบจริงๆ ไอ้ประโยคที่ว่า “เกิดเป็นคนต้องทำงาน เพื่อสำแดงให้โลกประจักษ์ว่าเรามิใช่คนหยิบโหย่ง เกียจคร้าน” ในเหมืองแร่เราต้องทำงานหนัก ใครได้โอเวอร์ไทม์คนนั้นคือดารา ใครตัวเปื้อนน้ำมันหรือโคลนตมคนนั้นสง่า” (อาจินต์ : ปรัชญาหน้าควันไฟ)
ที่ตัดยกข้อความข้างบนมานั้น ลุงอาจินต์บรรยายให้เราได้คิดตามว่าชีวิตในเหมืองแร่นั้นเป็นเช่นไร
ที่นั่นไม่มีวันหยุดราชการ ไม่มีฮอลิเดย์ ไม่มีวาเคชั่น คนทำงานในส่วนออฟฟิศของเหมืองแร่ได้หยุดวันอาทิตย์ แต่ในส่วนการทำงานของเรือขุดจะทำต่อเนื่องกันไปตลอดเวลา วันละ 3 ผลัด ต่อเนื่องกันไปทั้งวันทั้งคืนกลางแดดที่ร้อนอุ้ม หรือฝนที่สาดกระหน่ำ และความหนาวเย็นไอชื้นของหมอกในตำบลที่ไกลจากกรุงเทพจนแทบไม่มีจุดบอกตำแหน่งบนแผนที่ ตื่นเช้าสลัดความง่วงและเดินฝ่าความเย็นมากินกาแฟกับอาหารเช้าแล้วก็ต้องออกไปทำงานจนหมดกะ กลับมาหาเหล้าที่ร้านกาแฟเพื่อให้มันปลอบประโลมความเหงาและขับไล่ความเมื่อยล้า เข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำสิ่งเดียวกันซ้ำไปอีกจนครบสัปดาห์จนได้กำหนดเปลี่ยนกะไปทำตอนหัวค่ำ ผ่านไปอีกสัปดาห์ก็เปลี่ยนกะไปทำยามดึกจนถึงรุ่งเช้า...สี่ปีที่ลุงอาจินต์ใช้ชีวิตกรำอยู่ที่นั่น
ขอคำปรึกษา โฮจิมินห์ - ดาลัด 3 วัน 2 คืน ค่ะ
สวัสดีดีค่ะ เพื่อน ๆ พี่ ๆ ทุกคน
พอดีมีแพลนจะไปโฮจิมินห์-ดาลัด-โฮจิมิมห์ 3 วัน 2 คืน ไม่รู้ว่าว่างแผนถูกไหม
วันที่ 1
7.45 – 9.15 น. สนามบินดอนเมือง - โฮจิมินห์
10.00 - 21.00 น. เที่ยว โฮจิมินห์
23.30 น - 6.00น นั่งรถบัสนอนไปดาลัด
วันที่ 2
จองที่พัก Tulip hotel 1 คืน ไว้ค่ะ
ซื้อ one day Tour เที่ยวเมืองดาลัด ใช้เวลากี่ชั่วโมงค่ะ
วันที่ 3
8.00 - 15.00 น. นั่งรถบัสนอน จากดาลัด ไป โฮจิมินห์ มีรอบกี่โมงบ้างค่ะ
17.20 บินกลับ กรุงเทพค่ะ
พอดีมีแพลนจะไปโฮจิมินห์-ดาลัด-โฮจิมิมห์ 3 วัน 2 คืน ไม่รู้ว่าว่างแผนถูกไหม
วันที่ 1
7.45 – 9.15 น. สนามบินดอนเมือง - โฮจิมินห์
10.00 - 21.00 น. เที่ยว โฮจิมินห์
23.30 น - 6.00น นั่งรถบัสนอนไปดาลัด
วันที่ 2
จองที่พัก Tulip hotel 1 คืน ไว้ค่ะ
ซื้อ one day Tour เที่ยวเมืองดาลัด ใช้เวลากี่ชั่วโมงค่ะ
วันที่ 3
8.00 - 15.00 น. นั่งรถบัสนอน จากดาลัด ไป โฮจิมินห์ มีรอบกี่โมงบ้างค่ะ
17.20 บินกลับ กรุงเทพค่ะ
ถ้ากลัวเจอฉลามตอนเรียนดำน้ำ ต้องฟังคำตอบนี้
มีใครบ้าง ที่ชอบทะเล อยากลองดำน้ำ แต่กลัวว่าจะเจอฉลาม !!!
ไปฟังคำตอบจากซาช่ากัน กับ ประสบการณ์การดำน้ำมาแล้วรอบโลก กว่า 34 ปี
Diver'S Diaries ตอน อยากดำน้ำ แต่กลัวฉลาม .... จ้า
https://www.youtube.com/watch?v=TE4PeaiTjx8&feature=share
ปล. องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) รายงานว่า มนุษย์ฆ่าฉลามตายปีละประมาณ 100 ล้านตัว ส่วนใหญ่ฆ่าฉลามเพื่อเอาครีบของมันเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมออกมาเตือนว่า ฉลามหลายสิบสายพันธุ์เสี่ยงอันตราย ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมาประชากรฉลามทั่วโลกได้หดหายไปถึงร้อยละ 90 ส่วนมากเป็นเพราะการทำประมงแบบไร้ขีดจำกัดในหลายประเทศ
โครงการอุตสาหกรรมดำน้ำ คนไทยทำได้ (สำหรับนักศึกษา)
http://www.facebook.com/BangkokSeaEvents
ศูนย์ดำน้ำ Dolphin Divers
http://www.scubadivingkohchang.com/
อินเดีย เมืองชัยปุระ นครสีชมพู แห่งรัฐราชสถาน
อินเดีย เมืองชัยปุระ นครสีชมพูแห่งรัฐราชสถาน “ทัวร์ทุกที่.คอม พาเที่ยว”วันนี้จะพาทุกท่านไปเยือนเมืองชัยปุระ ประเทศอินเดีย เมืองที่ได้ชื่อว่านครสีชมพู … เพราะอะไรที่เมืองนี้ได้ชื่อ
ว่าเป็น“นครสีชมพู”….?คลิก แล้วไปท่องหาคำตอบกันเลยค่ะhttp://tourtooktee.com/ข้อมูลท่องเที่ยว/เมืองชัยปุระ-นครสีชมพู-แห่งรัฐราชสถาน
ขอรับบริจาคทริปดูซากุระ2015 นาโย่า-เกียวโต ประมาณ3-4 วันค่ะ งบประหยัด เวลาน้อย ไปแบบสาว สาว สาว
ดูรีวิวไปมานั่งทำแพลนไปมา แล้วงงตัวเอง แบบว่ามือใหม่ งั้นขอรับบริจาคจากผู้ใจดีเลยแล้วกัน ง่ายดี คริ คริ
ขอคำแนะนำที่พักในปารีสค่ะ
จะเดินทางจากสวิสเซอร์แลนด์ไป ปารีส โดย TGV ค่ะ
อยากขอคำแนะนำว่าพักที่ไหนดีคะ ที่จะเดินทางสะดวก
ทั้งจาก TGV, เที่ยวในเมือง และไปสนามบินค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
อยากขอคำแนะนำว่าพักที่ไหนดีคะ ที่จะเดินทางสะดวก
ทั้งจาก TGV, เที่ยวในเมือง และไปสนามบินค่ะ
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ตะโกนดังๆจากท้องฟ้า.... ทรงพระเจริญ
มีใครเคยขึ้น tokyo world trade center บ้างคะ ถามเซียนหรือผู้รู้ค่ะ ถามการเดินทางค่ะ
มีใครเคยขึ้น tokyo world trade center บ้างคะ
ถามเซียนหรือผู้รู้ค่ะ
เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการแวะชมวิว
อยากทราบว่า
1) ต้องซื้อตั๋วชั้นไหน
2) พอซื้อตั๋วแล้วต้องกดลิฟท์ไปชั้นอะไรคะ
3) จากสถานี hamamutsucho ต้องออกทาง exit ไหนคะ
4) แล้วก็อีก 1 คำถามค่ะ ตอนเดินไปออกประตูไปแล้วตามป้ายอะไรคะ (จะมีคำว่า Tokyo world trade center ให้ตามไปได้เลยไหมคะ)
ถามเซียนหรือผู้รู้ค่ะ
เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการแวะชมวิว
อยากทราบว่า
1) ต้องซื้อตั๋วชั้นไหน
2) พอซื้อตั๋วแล้วต้องกดลิฟท์ไปชั้นอะไรคะ
3) จากสถานี hamamutsucho ต้องออกทาง exit ไหนคะ
4) แล้วก็อีก 1 คำถามค่ะ ตอนเดินไปออกประตูไปแล้วตามป้ายอะไรคะ (จะมีคำว่า Tokyo world trade center ให้ตามไปได้เลยไหมคะ)
แอ่วเหนือเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอนก่อนวันพ่อ
ไปมั่ว รั่ว หลง แบกเป้ Backpack ครึ่งค่อนโลก 5 ประเทศ 13 เมือง 38 วัน แล้วเราจะเจอกันระหว่างทาง
หากย้อนไปสมัยเรายังตัวกะเปี๊ยก คุณยังจำได้ไหมว่า ความฝันของคุณคืออะไร
สวัสดีคะ วันนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์ก้าวแรกของความฝัน…….ฝันที่อยากจะเดินทางรอบโลก
ถือเป็นการเดินทางของก้าวแรกกับการแบกเป้ไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไปหรือแมักระทั้งว่ามีความคิดที่จะได้ไป
ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวต่างประเทศแบบ Backpack ครั้งแรกที่เที่ยวที่นานที่สุด และมาพร้อมด้วยความมุ่งมั่นที่จะตามล่าหาความฝัน
3 คน 5 ประเทศ 13 เมือง 38 วัน เพราะเราฝันอยากจะเห็นยอดเขา Everest ด้วยตาตัวเองดูสักครั้ง นั่งรถไฟไต่หลังคาโลกสักหน ได้ไปพระราชวังโปตาลาที่ติดอันดับ 1ใน10ของโลก ดูต้นฉบับเจาะเวลาหาจิ๋นซี ตามหาท่านเหมาเจอตุง เข้าชมพระราชวังต้องห้าม ปักหมุนที่กำแพงจีนทีเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลก เจอท่านแจ๊งคิสคาน อยู่บ้านกระโจมแบบมองโกเลีย สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการตามแบบฉบับรัสเซีย (พิพิธภัณฑ์แอร์มิ จตุรัสแดง (Red Square) มหาวิหารเซ็นต์เบซิล และพระราชวังเครมลิน) เยือนเมืองคนรวยและชมตึกสูงเฉียดฟ้าสูงที่สุดในโลก(Burj Khalifa Building, Dubai) และลองกินอาหารอินเดียแบบ Real Real India นี่เป็นแค่สถานที่ส่วนหนึ่งจากบันทึกการเดินของเราเท่านั้น
ความประทับใจที่สุดกลับไม่ได้เป็นเพียงแค่ได้ไปถึงจุดมุ่งหมายของความฝัน แต่ความประทับใจของการเดินทาง คือ สิ่งเราเจอในระหว่างทางตลอดการเดินทาง
และในการเดินทางครั้งนี้ ทริปที่ประทับใจที่สุด กลับเป็นทริปที่ไม่คาดคิดเพราะมันคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง นั่นคือที่ทิเบต เราได้ทั้งความทรงจำ ความสนุก และ ความประทับที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการเดินทาง เราไม่ได้แค่มาเห็นแค่ยอดเขา Everest ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หรือความรู้สึกจากการได้นั่งรถไฟไต่หลังคาโลกเท่านั้น แต่เราได้ทั้งเพื่อนใหม่ มิตรภาพ รอยยิ้ม ความตื่นเต้น และความทรงจำที่ดีๆตลอดการเดินทาง ทั้งความสวยงามจากตลอดสองข้างทาง ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในระหว่างทางการเดินทาง
ยอดเขา Everest นั้นว่าสวยมากแล้ว แต่ขอบอกเลยว่า หากใครได้มีโอกาสไป Everest Base Camp (EBC) ต้องอย่าพลาด ที่จะเงยหน้ามองดูดวงดาวยามค่ำคืน ส่วนตัวเป็นคนชอบดูดาว บอกเลยว่าดาวที่นี่………สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต เพราะมันสว่างใสเต็มท้องฟ้า และที่เด็ดสุดคือ ได้เห็นทางช้างเผือกชัดมาก!!!!!
เรายังรู้สึกว่า ดวงดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม อาจเป็นเพราะเราอยู่สูงถึง 5,280 เมตรจากน้ำทะเล แค่เพียงเงยหน้ามองฟ้าก็เหมือนโดนมนสะกด ให้หนาวมากแค่ไหน (-25องศา) ก็ยอม ขอแค่ได้ยืนดูดวงดาวสักพัก เก็บภาพที่ประทับใจใส่ในความทรงจำ
การเดินทางจะไม่สามารถสนุกสมบูรณ์แบบได้ หากเราขาดเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจกัน เพื่อนร่วมการเดินทางจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเรื่องที่ไม่คาดคิด มักเกิดขึ้นเสมอในระหว่างทาง เพื่อนร่วมทางต้องคอยช่วยเหลือกันและกัน และยังสามารถสร้างความสนุกได้ตลอดทาง จากเส้นทางที่คิดว่าจะมาเพียงแค่ครั้งเดียวเพื่อทำตามความฝัน แต่ความประทับใจที่เกิดขึ้นทำให้พวกเราตั้งเป้าหมายที่จะกลับไปเยือนทิเบตและได้กลับไปเจอ
เพื่อนเก่าอีกครั้ง
การเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราได้รู้ว่า เราชอบการเดินทางแบบ Adventure (แบบ trekking) ไปในประเทศที่กำลังพัฒนา ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เห็นท้องฟ้าแบบสีฟ้ายากที่จะบรรยาย รวมถึงการไปเจอสิ่งใหม่ๆแบบที่ไม่ได้วางแผนไว้
หากข้อมูลผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ
สามารถเดินทางไปพร้อมๆกับเราได้ที่....
Find out more at:
http://www.facebook.com/OTwayTo
http://www.Instagram.com/OTWayTo
หากต้องการข้อมูล สามารถเขียนอีเมล์เข้ามาหาเราได้ที่ OTWayTo@gmail.com ชื่อสินค้า: backpacker China, Mongolia, Russia, Emerate, India คะแนน: **CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
สวัสดีคะ วันนี้ขอมาแชร์ประสบการณ์ก้าวแรกของความฝัน…….ฝันที่อยากจะเดินทางรอบโลก
ถือเป็นการเดินทางของก้าวแรกกับการแบกเป้ไปยังสถานที่ที่ไม่เคยไปหรือแมักระทั้งว่ามีความคิดที่จะได้ไป
ครั้งแรกกับการแบกเป้เที่ยวต่างประเทศแบบ Backpack ครั้งแรกที่เที่ยวที่นานที่สุด และมาพร้อมด้วยความมุ่งมั่นที่จะตามล่าหาความฝัน
3 คน 5 ประเทศ 13 เมือง 38 วัน เพราะเราฝันอยากจะเห็นยอดเขา Everest ด้วยตาตัวเองดูสักครั้ง นั่งรถไฟไต่หลังคาโลกสักหน ได้ไปพระราชวังโปตาลาที่ติดอันดับ 1ใน10ของโลก ดูต้นฉบับเจาะเวลาหาจิ๋นซี ตามหาท่านเหมาเจอตุง เข้าชมพระราชวังต้องห้าม ปักหมุนที่กำแพงจีนทีเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลก เจอท่านแจ๊งคิสคาน อยู่บ้านกระโจมแบบมองโกเลีย สถานที่ท่องเที่ยวสุดอลังการตามแบบฉบับรัสเซีย (พิพิธภัณฑ์แอร์มิ จตุรัสแดง (Red Square) มหาวิหารเซ็นต์เบซิล และพระราชวังเครมลิน) เยือนเมืองคนรวยและชมตึกสูงเฉียดฟ้าสูงที่สุดในโลก(Burj Khalifa Building, Dubai) และลองกินอาหารอินเดียแบบ Real Real India นี่เป็นแค่สถานที่ส่วนหนึ่งจากบันทึกการเดินของเราเท่านั้น
ความประทับใจที่สุดกลับไม่ได้เป็นเพียงแค่ได้ไปถึงจุดมุ่งหมายของความฝัน แต่ความประทับใจของการเดินทาง คือ สิ่งเราเจอในระหว่างทางตลอดการเดินทาง
และในการเดินทางครั้งนี้ ทริปที่ประทับใจที่สุด กลับเป็นทริปที่ไม่คาดคิดเพราะมันคือจุดเริ่มต้นของการเดินทาง นั่นคือที่ทิเบต เราได้ทั้งความทรงจำ ความสนุก และ ความประทับที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการเดินทาง เราไม่ได้แค่มาเห็นแค่ยอดเขา Everest ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หรือความรู้สึกจากการได้นั่งรถไฟไต่หลังคาโลกเท่านั้น แต่เราได้ทั้งเพื่อนใหม่ มิตรภาพ รอยยิ้ม ความตื่นเต้น และความทรงจำที่ดีๆตลอดการเดินทาง ทั้งความสวยงามจากตลอดสองข้างทาง ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆในระหว่างทางการเดินทาง
ยอดเขา Everest นั้นว่าสวยมากแล้ว แต่ขอบอกเลยว่า หากใครได้มีโอกาสไป Everest Base Camp (EBC) ต้องอย่าพลาด ที่จะเงยหน้ามองดูดวงดาวยามค่ำคืน ส่วนตัวเป็นคนชอบดูดาว บอกเลยว่าดาวที่นี่………สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต เพราะมันสว่างใสเต็มท้องฟ้า และที่เด็ดสุดคือ ได้เห็นทางช้างเผือกชัดมาก!!!!!
เรายังรู้สึกว่า ดวงดาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม อาจเป็นเพราะเราอยู่สูงถึง 5,280 เมตรจากน้ำทะเล แค่เพียงเงยหน้ามองฟ้าก็เหมือนโดนมนสะกด ให้หนาวมากแค่ไหน (-25องศา) ก็ยอม ขอแค่ได้ยืนดูดวงดาวสักพัก เก็บภาพที่ประทับใจใส่ในความทรงจำ
การเดินทางจะไม่สามารถสนุกสมบูรณ์แบบได้ หากเราขาดเพื่อนร่วมทางที่เข้าใจกัน เพื่อนร่วมการเดินทางจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเรื่องที่ไม่คาดคิด มักเกิดขึ้นเสมอในระหว่างทาง เพื่อนร่วมทางต้องคอยช่วยเหลือกันและกัน และยังสามารถสร้างความสนุกได้ตลอดทาง จากเส้นทางที่คิดว่าจะมาเพียงแค่ครั้งเดียวเพื่อทำตามความฝัน แต่ความประทับใจที่เกิดขึ้นทำให้พวกเราตั้งเป้าหมายที่จะกลับไปเยือนทิเบตและได้กลับไปเจอ
เพื่อนเก่าอีกครั้ง
การเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราได้รู้ว่า เราชอบการเดินทางแบบ Adventure (แบบ trekking) ไปในประเทศที่กำลังพัฒนา ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เห็นท้องฟ้าแบบสีฟ้ายากที่จะบรรยาย รวมถึงการไปเจอสิ่งใหม่ๆแบบที่ไม่ได้วางแผนไว้
หากข้อมูลผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ค่ะ
สามารถเดินทางไปพร้อมๆกับเราได้ที่....
Find out more at:
http://www.facebook.com/OTwayTo
http://www.Instagram.com/OTWayTo
หากต้องการข้อมูล สามารถเขียนอีเมล์เข้ามาหาเราได้ที่ OTWayTo@gmail.com ชื่อสินค้า: backpacker China, Mongolia, Russia, Emerate, India คะแนน: **CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
##Pay it forward บัตร Octopus season 3##
จากการที่เราเปิด PIF บัตรไปแล้ว 2 รอบจากกระทู้ด้านล้างนี้ มีเพื่อน ๆ สนใจมาเป็นระยะ
เราเลยเปิดรอบที่ 3 ขึ้นมานะคะ
http://pantip.com/topic/30872192
http://pantip.com/topic/31737100
เรามีบัตรเพียงแค่ 1 ใบ นะคะ สำหรับใครที่ไม่อยากจะไปซื้อบัตรที่ฮ่องกงก็สามารถนำบัตรเราไปเติมเงินใช้ได้เลยโดยที่จะเป็นการส่งต่อให้คนที่สนใจไปเรื่อยๆค่ะ
กติกามีอยู่ว่า
เพื่อนคนไหนที่สนใจจะยืมบัตร octopus ให้มาลงชื่อในนี้เลยค่ะโดยที่เราจะพิจารณาจาก - ลงชื่อลำดับที่, วันที่ไป-กลับ
ใครสนใจลงชื่อไว้ได้เลยค่ะ
1.ชื่อ login
2.วันไปกลับ
3.mail
เราเลยเปิดรอบที่ 3 ขึ้นมานะคะ
http://pantip.com/topic/30872192
http://pantip.com/topic/31737100
เรามีบัตรเพียงแค่ 1 ใบ นะคะ สำหรับใครที่ไม่อยากจะไปซื้อบัตรที่ฮ่องกงก็สามารถนำบัตรเราไปเติมเงินใช้ได้เลยโดยที่จะเป็นการส่งต่อให้คนที่สนใจไปเรื่อยๆค่ะ
กติกามีอยู่ว่า
เพื่อนคนไหนที่สนใจจะยืมบัตร octopus ให้มาลงชื่อในนี้เลยค่ะโดยที่เราจะพิจารณาจาก - ลงชื่อลำดับที่, วันที่ไป-กลับ
ใครสนใจลงชื่อไว้ได้เลยค่ะ
1.ชื่อ login
2.วันไปกลับ
3.mail
[CR] - ควงลุงกับป้า ไป (ด้วย) ทัวร์เกาะเชจู :)
การเดินทาง : Jeju air บินตรงลงเกาะเชจู
วันที่เดินทาง : 9-12 Oct 2014
อุณหภูมิท้องถิ่น : 21-25 องศาเซลเซียส ชื่อสินค้า: เกาะเชจู (Jeju) ประเทศเกาหลีใต้ คะแนน: **CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
ไปเดินเล่นดอยม่อนจอง .. ดอยสวย เดินง่าย
สวัสดีครับ นานนานโพสกระทู้ทีนึง ,..
เมื่อ 23 พ.ย. ผมติดรถเพื่อนไปดอยม่อนจอง คือ เพื่อนเคยไปแล้ว แต่ผมเพิ่งได้เคยไป ดอยม่อนจอง สวยจริงครับ ดอยสวย เดินง่าย ..
ขอนำเสนอแนวผม ผมนั่งรถเพื่อนไปอ.อมก๋อย จ.ชียงใหม่ ติดต่อทีมงานคนนำทางและลูกหาบที่กศน.อมก๋อย http://www.doimonjong.com
จากกศน.อมก๋อย หรือศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง 080-133-3970 พวกเราขึ้นนั่งรถ 4Wd ไปราว 1 ชม.กว่า สุดทางรถ สะพายเป้ออก
เดินเท้าไปตามทาง ทางเดินง่าย ทางชัดเจน ไม่มีหลง ทางมีระดับความชันตามปกติของการเดินขึ้นขุนเขา เราเดินขึ้น 23 พ.ย.นอนค้าง 1 คืน จนสาย ๆ
ของ 24 พ.ย. เดินลงและนั่ง 4 Wd กลับ .. ภาพและเรื่องราวการเดินทางมาจากกล้องคอมแพค Sony TX20 และ Canon G12 นำเสนอตามลำดับเวลา
ผมบรรยายไม่เก่งครับ ,. ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมครับ แก้ไขข้อความเมื่อ
เมื่อ 23 พ.ย. ผมติดรถเพื่อนไปดอยม่อนจอง คือ เพื่อนเคยไปแล้ว แต่ผมเพิ่งได้เคยไป ดอยม่อนจอง สวยจริงครับ ดอยสวย เดินง่าย ..
ขอนำเสนอแนวผม ผมนั่งรถเพื่อนไปอ.อมก๋อย จ.ชียงใหม่ ติดต่อทีมงานคนนำทางและลูกหาบที่กศน.อมก๋อย http://www.doimonjong.com
จากกศน.อมก๋อย หรือศูนย์บริการการท่องเที่ยวดอยม่อนจอง 080-133-3970 พวกเราขึ้นนั่งรถ 4Wd ไปราว 1 ชม.กว่า สุดทางรถ สะพายเป้ออก
เดินเท้าไปตามทาง ทางเดินง่าย ทางชัดเจน ไม่มีหลง ทางมีระดับความชันตามปกติของการเดินขึ้นขุนเขา เราเดินขึ้น 23 พ.ย.นอนค้าง 1 คืน จนสาย ๆ
ของ 24 พ.ย. เดินลงและนั่ง 4 Wd กลับ .. ภาพและเรื่องราวการเดินทางมาจากกล้องคอมแพค Sony TX20 และ Canon G12 นำเสนอตามลำดับเวลา
ผมบรรยายไม่เก่งครับ ,. ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาชมครับ แก้ไขข้อความเมื่อ
รีวิว " CAPSTONE RESORT" จ.เพชรบุรี ณ หาดเจ้าสำราญ
สวัสดีครับครั้งนี้ผมจะมารีวิวสถานที่ท่องเที่ยวชายทะเล ณ หาดเจ้าสำราญครับ
ทริปนี้ตั้งเป้าหมายไปทะเลคือ
1. ระยะทางไป-กลับไม่เกิน 1000 โล
2. ห้องพักราคา 3-4 พันบาท/คืน
3. ที่พักมีสระว่ายน้ำ
4. ห้องพักติดทะเล (เดินลงไปเล่นได้สะดวกๆ)
จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ผมเชื่อว่าทุกๆท่านก็มีความคิดแบบผม จริงไหมครับ
ผมก็คงเหมือนทุกๆท่าน ค้นหาไปเรื่อยๆ เยอะแยะมากมาย ได้อย่าง เสียอย่าง ครบทุกอย่างก็โคตรจะแพง
จนผมมาเจอที่นี่ครับ....หาดเจ้าสำราญกับรีสอร์ทเล็กๆที่ครบทุกองค์ประกอบ
v
v
v
v
หาดเจ้าสำราญ " CAPSTONE RESORT" จ.เพชรบุรี
http://www.capstoneresort.com/
ซึ่งตรงตามเป้าหมายที่ผมวางไว้ทุกอย่างเป๊ะ........ผมนี่แนะนำเลย+++
เลี้ยวเข้าซอยมาตามแผนที่พบป้ายที่พักชัดเจน (เพราะสุดซอยละ ฮ่าๆๆๆๆ)
ที่จอดรถเล็กไปนิดนึงครับ (จอดได้ 4-5 คัน) ที่เหลือจอดซุกๆแถวนั้นได้สบายๆครับ
พร้อมกับมีรูปปั้นเฝ้ายามตัวใหญ่ (สัญลักษณ์ของที่นี่เค้าครับ)
เดินผ่านรูปปั้นเฝ้ายามมาที่ล็อบบี้เรียบๆง่ายๆเพื่อเช็คอิน
สายตาสอดไปมองแต่ด้านใน โอ้ววววววววววว แจ่มมมมมมมม
เช็ดอินเสร็จเดินเข้ามาเจอเลยครับ สระน้ำของเรา
ห้องที่ผมเลือกพักคือ sea view room (no.104)
ทีเด็ดห้องนี้คือ ด้านหลังติดสระน้ำ ด้านหน้าติดทะเล
เข้ามาภายในห้องพักครับ (กว้างใหญ่ดีครับสำหรับห้องนี้)
มีตู้เย็น ตู้ใหญ่ด้วยสบายครับแช่เย็นๆ
มีรองเท้าแตะเตรียมไว้ให้ผู้ที่มาพักผ่อนด้วยครับ (หนีบๆเจ้บเท้าไปนิส)
มีชุดกาน้ำร้อนให้ด้วย (เนส 2 ซอง)
ห้องน้ำมีอุปกรณ์ครบ (ผ้าเช็ดตัวมีให้ครับ)
ฝักบัวสุดโปรดสำหรับผมครับ (ปรับร้อน-เย็นตามชอบ)
มุมมองจากเตียงนอนให้ห้องพัก เห็นทะเลใกล้ๆเลยครับ
ตกเย็นเปิดประตูห้องเลงเดินเล่นชายหาดได้เลย
มีน้องหมาเจ้าถิ่นด้วย หน้าตาดุแต่นิสัยดีครับ
มื้อค่ำขับรถออกจากรีสอ์ท
พอเจอถนนย่อยแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอร้านขายหอยนางรม
พร้อมมีบริการยำให้ด้วยครับ
สำหรับอาหารเช้าที่นี่มีให้ครับ
แต่ต้องขอบอกก่อนครับ ใครชอบบุฟเฟ่ต์คงน้ำตาไหล อิอิอิ
เด็ดสุดสำหรับผมคือ nutella ครับ จัดเต็ม !!!!
เมื่ออิ่มมื้อเช้าก็ลงมาเล่นน้ำผักผ่อนกันอีกรอบครับ
ถ้าคุณมีเป้าหมายในการท่องเที่ยวแบบผม......ที่นี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการพักผ่อนคับ
บรรยากาศเงียบสงบดี (ถ้าไม่มีกรุ๊ปจัดกิจกรรมของรีสอร์ทข้างๆ..เช็คกันก่อนครับ อิอิอิ )
พนักงานสุภาพต้อนรับ ยิ้มแย้มดีครับ มีสระว่ายหลังห้อง และทะเลหน้าห้อง บอกเลยครับว่ามันเยี่ยมมาก
ติดเรื่องอาหารเช้าหน่อยครับที่ไม่มีบุฟเฟ่ต์ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
สถานที่ : 9/10 ที่พักสะอาด กว้างขวางดีครับ มีให้เลือกหลายราคาตามความสะดวก เปิดหน้าห้องมาพบทะเลเลย
(วันที่ผมไปมีกรุ๊ปจัดกิจกรรม เสียงดังไปหน่อย แต่เสียงเข้าไม่ถึงในห้องครับ)
บริการ : 8/10 พนักงานทุกท่านสุภาพยิ้มแย้มดี แต่ไม่ได้มีบริการอะไรพิเศษครับ
ราคา : 9/10 ราคาเหมาะสมมาก กับความสะดวกในการลงเล่นน้ำ หน้าห้องทะเล ด้านหลังสระน้ำ
ติดแค่ที่อาหารเช้าเท่านั้นครับ สำหรับผม
(ห้องพัก sea view room THB 4,xxx/Night)
ขากลับ กทม. ขับรถออกมา มองซ้ายมือข้างทางไว้ครับอย่าลืมแวะก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำมะนาวไข่ราคาประหยัด
และแวะชิมของเด็ดเมืองเพชร.....ไอศครีมน้ำตาลโตนดด้วยนะครับ
ใครไปมาแล้วหรือมีสถานที่แนะนำเพิ่มเติมร่วมแชร์ข้อมูลกันนะครับ
ขอบคูณที่เข้ามารัยชมครับ ชื่อสินค้า: CAPSTONE RESORT คะแนน: **CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
ทริปนี้ตั้งเป้าหมายไปทะเลคือ
1. ระยะทางไป-กลับไม่เกิน 1000 โล
2. ห้องพักราคา 3-4 พันบาท/คืน
3. ที่พักมีสระว่ายน้ำ
4. ห้องพักติดทะเล (เดินลงไปเล่นได้สะดวกๆ)
จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ผมเชื่อว่าทุกๆท่านก็มีความคิดแบบผม จริงไหมครับ
ผมก็คงเหมือนทุกๆท่าน ค้นหาไปเรื่อยๆ เยอะแยะมากมาย ได้อย่าง เสียอย่าง ครบทุกอย่างก็โคตรจะแพง
จนผมมาเจอที่นี่ครับ....หาดเจ้าสำราญกับรีสอร์ทเล็กๆที่ครบทุกองค์ประกอบ
v
v
v
v
หาดเจ้าสำราญ " CAPSTONE RESORT" จ.เพชรบุรี
http://www.capstoneresort.com/
ซึ่งตรงตามเป้าหมายที่ผมวางไว้ทุกอย่างเป๊ะ........ผมนี่แนะนำเลย+++
เลี้ยวเข้าซอยมาตามแผนที่พบป้ายที่พักชัดเจน (เพราะสุดซอยละ ฮ่าๆๆๆๆ)
ที่จอดรถเล็กไปนิดนึงครับ (จอดได้ 4-5 คัน) ที่เหลือจอดซุกๆแถวนั้นได้สบายๆครับ
พร้อมกับมีรูปปั้นเฝ้ายามตัวใหญ่ (สัญลักษณ์ของที่นี่เค้าครับ)
เดินผ่านรูปปั้นเฝ้ายามมาที่ล็อบบี้เรียบๆง่ายๆเพื่อเช็คอิน
สายตาสอดไปมองแต่ด้านใน โอ้ววววววววววว แจ่มมมมมมมม
เช็ดอินเสร็จเดินเข้ามาเจอเลยครับ สระน้ำของเรา
ห้องที่ผมเลือกพักคือ sea view room (no.104)
ทีเด็ดห้องนี้คือ ด้านหลังติดสระน้ำ ด้านหน้าติดทะเล
เข้ามาภายในห้องพักครับ (กว้างใหญ่ดีครับสำหรับห้องนี้)
มีตู้เย็น ตู้ใหญ่ด้วยสบายครับแช่เย็นๆ
มีรองเท้าแตะเตรียมไว้ให้ผู้ที่มาพักผ่อนด้วยครับ (หนีบๆเจ้บเท้าไปนิส)
มีชุดกาน้ำร้อนให้ด้วย (เนส 2 ซอง)
ห้องน้ำมีอุปกรณ์ครบ (ผ้าเช็ดตัวมีให้ครับ)
ฝักบัวสุดโปรดสำหรับผมครับ (ปรับร้อน-เย็นตามชอบ)
มุมมองจากเตียงนอนให้ห้องพัก เห็นทะเลใกล้ๆเลยครับ
ตกเย็นเปิดประตูห้องเลงเดินเล่นชายหาดได้เลย
มีน้องหมาเจ้าถิ่นด้วย หน้าตาดุแต่นิสัยดีครับ
มื้อค่ำขับรถออกจากรีสอ์ท
พอเจอถนนย่อยแล้วเลี้ยวซ้าย จะเจอร้านขายหอยนางรม
พร้อมมีบริการยำให้ด้วยครับ
สำหรับอาหารเช้าที่นี่มีให้ครับ
แต่ต้องขอบอกก่อนครับ ใครชอบบุฟเฟ่ต์คงน้ำตาไหล อิอิอิ
เด็ดสุดสำหรับผมคือ nutella ครับ จัดเต็ม !!!!
เมื่ออิ่มมื้อเช้าก็ลงมาเล่นน้ำผักผ่อนกันอีกรอบครับ
ถ้าคุณมีเป้าหมายในการท่องเที่ยวแบบผม......ที่นี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการพักผ่อนคับ
บรรยากาศเงียบสงบดี (ถ้าไม่มีกรุ๊ปจัดกิจกรรมของรีสอร์ทข้างๆ..เช็คกันก่อนครับ อิอิอิ )
พนักงานสุภาพต้อนรับ ยิ้มแย้มดีครับ มีสระว่ายหลังห้อง และทะเลหน้าห้อง บอกเลยครับว่ามันเยี่ยมมาก
ติดเรื่องอาหารเช้าหน่อยครับที่ไม่มีบุฟเฟ่ต์ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
สถานที่ : 9/10 ที่พักสะอาด กว้างขวางดีครับ มีให้เลือกหลายราคาตามความสะดวก เปิดหน้าห้องมาพบทะเลเลย
(วันที่ผมไปมีกรุ๊ปจัดกิจกรรม เสียงดังไปหน่อย แต่เสียงเข้าไม่ถึงในห้องครับ)
บริการ : 8/10 พนักงานทุกท่านสุภาพยิ้มแย้มดี แต่ไม่ได้มีบริการอะไรพิเศษครับ
ราคา : 9/10 ราคาเหมาะสมมาก กับความสะดวกในการลงเล่นน้ำ หน้าห้องทะเล ด้านหลังสระน้ำ
ติดแค่ที่อาหารเช้าเท่านั้นครับ สำหรับผม
(ห้องพัก sea view room THB 4,xxx/Night)
ขากลับ กทม. ขับรถออกมา มองซ้ายมือข้างทางไว้ครับอย่าลืมแวะก๋วยเตี๋ยวหมูต้มยำมะนาวไข่ราคาประหยัด
และแวะชิมของเด็ดเมืองเพชร.....ไอศครีมน้ำตาลโตนดด้วยนะครับ
ใครไปมาแล้วหรือมีสถานที่แนะนำเพิ่มเติมร่วมแชร์ข้อมูลกันนะครับ
ขอบคูณที่เข้ามารัยชมครับ ชื่อสินค้า: CAPSTONE RESORT คะแนน: **CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)