วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นาขั้นบันไดบ้านป่าบงเปียง สวนสนบ่อแก้ว และกล้องฟิล์มคู่ใจ

กระทู้แรกในพันทิป เคยคิดหลายทีแล้ว (แต่ไม่ทำซักที) ว่าอยากจะเรียบเรียงเรื่องราว แบ่งปันประสบการณ์ (ที่อาจจะเป็นประโยชน์) ต่อคนอื่นบ้าง

เราเป็นคนชอบเที่ยว ชอบถ่ายรูป หลังๆมานี้ถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์มมาโดยตลอด จนลืมไปแล้วว่าใช้เจ้ากล้องดิจิตอลครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และจะชอบ “อิน” กับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆระหว่างการเดินทาง มีความรู้สึกว่าอยาก “ซึมซับ” ทุกโมเม้นของการท่องเที่ยว ละการถ่ายรูปฟิล์มมันเป็น อารมณ์, เสน่ห์ของความไม่สมบูรณ์แบบ มันเป็นฟิลลิ่ง,,,,และมัน,,, abstract,,,

เข้าเรื่องละนะ! (บอกตัวเอง)
ทริปนี้เกิดจากความคิดที่ว่า เห้ย ฤดูฝน จะเที่ยวไหนได้ฟะ เอาล่ะสิ ก็ list มา ป่าเขา น้ำตก ทุ่งนา....ทุ่งนา! เออ เคยคิดว่าจะไปนาขั้นบันได (คิดอีกละ) ประกอบกับมีเพื่อนอารมณ์อินดี้จองตั๋วโปรของนกแอร์ (direct flight อุดร เชียงใหม่) ได้ถูกมากๆ ไป-กลับไม่ถึง 2,00บาท เอาแล้วไง เข้าทาง ชวนกันไปเที่ยวทุ่งนาขั้นบันได บ้านแม่กลางหลวงและบ้านป่าบงเปียงที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาหน้าตาคล้ายบ้านเทเลทับบี้ พ่วงด้วยออบหลวงและสวนสนบ่อแก้ว สถานที่อันแสนโรแมนติก (ถ้า มี แฟน มันจะดีมาก ตอนนั้นคิดแบบนี้ T.T)

ออกเดินทางถึงเชียงใหม่ตอนค่ำของวันที่ 3 ตค.57 เราพักที่ ฮาโหล ดอร์มเทล กลางซอยนิมมาน 13 เราเลือกห้อง Four Room เป็นเตียงสองชั้นสี่เตียง ราคาคืนละ 1,400 บาท มีจักรยานให้ยืม แต่! กรุณาดูสภาพล้อและลมล้อรถด้วย ตรงข้ามที่พักเป็นร้านต๋อง เราฝากปากท้องตอนที่พักที่เชียงใหม่ 2 คืน

เช้าวันที่ 4 ตค.57
รถเช่าพร้อมคนขับที่เราติดต่อไว้มารับที่โรงแรมแต่เช้า คุณลุงนพเป็นขับรถมาพร้อมรถโฟวีลคู่ใจ รถลุงสภาพดี ทนทาน สวยถูกใจเด็กแนวมากอ่ะ ค่ารถพร้อมคนขับวันละ 1,800 ไม่รวมน้ำมัน





หลังจากที่รับเพื่อนๆในเมืองและแวะตลาดหาซื้อของกินระหว่างทางแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่บ้านแม่กลางหลวง เราพักที่บ้านของโครงการ ราคาคืนละ 1,500 บาท เราทั้ง 7 คนนอนได้เต็มพื้นที่พอดี เก็บของเสร็จก็ติดต่อไกด์ท้องถิ่นพาเดินเที่ยวน้ำตก (รักจัง) และทุ่งนาโดยรอบ ใช้เวลาตรงนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง  ตไม่ได้ถ่ายรูปมาเยอะ เนื่องจากแสงแดดรุนแรงมาก ตอนที่เดินนั้นก็บ่ายโมงเข้าไปแล้ว ในหมู่บ้านมีร้านกาแฟของชาวบ้านอยู่บ้านนึง แต่ตอนนั้นอากาศร้อนเกินกว่าจะกินกาแฟร้อนสักคำ





เดินน้ำตกและบ้านแม่กลางหลวงเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปบ้านป่าบงเปียงโดยเร็วไว อยากจะไปเก็บแสงตอนเย็นให้ได้ และพวกเราโชคดีมากที่วันนั้นฝนไม่ตกเลย ทางเข้าบ้านป่าบงเบียง (เราใช้ถนนเส้นที่ไปดอยอินทนนท์ตัดขวาไปทางป่าไม้) แอบทรมานสังขารเล็กน้อย มันจะทุลักทุเลมากถ้าวันนั้นฝนตก รถที่เหมาะที่สุดที่ปีนป่ายขึ้นไปได้ต้องเป็นโฟวีลเท่านั้นนะเจ้าคะ ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึงบ้านป่าบงเปียง

และแล้วววว......
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าในตอนนั้น ถ้าใครไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปเที่ยวทุ่งนา ถ้าใครไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดั้นด้นมาถึงที่นี่...
ลองมาสัมผัสด้วยตัวเองนะ แค่ยืนนิ่งๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่แวดล้อมไปด้วยสีเขียวกับแสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ เท่านี้ก็ฟินแล้ว...พริ้มมาก ปล.ช่วงที่แสงมาเป็นลำ ฟิล์มดันหมด แอบเปลี่ยนฟิล์มไม่ทัน –“-

















สุขสงบจนแสงสุดท้ายหมด มองหน้ากับเพื่อนที่มาด้วยกัน (ไม่พูดอะไรก็เข้าใจกันทุกคำ) เห้ย พรุ่งนี้ต้องกลับมาเก็บหมอกตอนเช้าให้ได้เล้ยยยย  Yahoooo!!!

กลับเข้าที่พักที่บ้านแม่กลางหลวงในเย็นวันนั้น ที่นั่นมีข้าวให้กิน ไม่ต้องห่วง แต่หากใครจะไปพักที่บ้านป่าบงเปียง ต้องเตรียมทุกอย่างเอง ที่นั่นไม่มีไฟฟ้า ไม่มีร้านอาหาร คงจะได้อรรถรสไปอีกแบบ คืนนี้กะหลับสบายแต่ต้องผ่านด่านความเยือกเย็นของการอาบน้ำของเครื่องทำน้ำอุ่นที่ไม่มีแม้แต่ความร้อนสักองศาเดียว จะแอบเนียนไม่อาบน้ำก็คงจะไม่ไหว ก็เดินลุยทุ่งนาซะขนาดนั้น

อาบน้ำเสร็จ พรุ่งนี้ตื่นตีห้าแจร้ๆๆๆๆ แต่เดี๋ยว!!! อะไรเป็นจุดจ้ำๆแดงๆตรงขา กรีสสสส มันเป็นจุดแดงช้ำๆอ่ะ งูกัดเหรอ ก็ไม่นะ ไม่เจ็บไม่ตาย แล้วมันอัลไล งงไปพักนึง ทั้งกลุ่มมีจุดแบบนี้อยู่สองคน คือเป็นบุคคลประเภทใส่ขาสั้น เพื่อนอีกคนบอกว่าน่าจะโคนตัวคุ่นกัด พระเจ้าอะไรคือตัวคุ่น เกิดมาไม่เคยได้ยิน ที่กังวลคือ ละทำไมไม่เจ็บ ละจะเป็นอะไรมั๊ย บราๆๆ %$#*)+@%#%$
แต่ช่างมันละ ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ จะนอน!

วันที่ 5 ตค 57
คุณลุงนพพาเรากลับไปที่เดิม ที่บ้านป่าบงเปียง สายหมอกกับอากาศเย็นๆสมดังใจปรารถนา ตอนนั้นบอกกับทุ่งข้าว ขุนเขาก้อนเมฆและตัวเองว่า ดีใจที่ได้มา ^^













ดื่มด่ำกับบ้านป่าบงเบียงจนหยดสุดท้ายของสายหมอก เราก็กลับไปที่บ้านแม่กลางหลวงเพื่อเดินทางต่อไปยังออบหลวง
เราพักที่บ้านพักของอุทยาน คืนละ 2100 บาท สภาพห้องพักค่อนข้างดี มีห้องนอนตั้งสามห้องแหนะ

เก็บของเสร็จก็วิ่งข้ามถนนไปออบหลวง (มันอยู่ฝั่งตรงข้ามที่พักเลย) แอบแปลกใจที่ไม่ถูกเรียบเก็บค่าธรรมเนียมก่อนขึ้น อ๋ออ พี่เค้าคงจะกลับบ้านแล้วมั้งเลยขี้เกียจเก็บ ล่ะมั้ง เดินไปถ่ายรูปไปตามลายแทงลูกศรที่บอกเป็นระยะๆ ระหว่างทางก็แอบแปลกใจ (เป็นครั้งที่สอง) ที่ทำไมฝรั่งเหล่านั้นเดินสวนทางเราลงมาทั้งๆที่เส้นทางเดินมันเป็นวงกลม แต่เราก็เดินต่อไป ฮ่าๆๆๆๆ

เดินไปเรื่อยๆ เค้าบอกให้ไปจุดชมวิว คือต้องปีนและคลานขึ้นไปตรงจุดชมวิว เราส่งหน่วยกล้าตายขึ้นไปก่อน 1 คน สักพักเพื่อนคนนั้นก็หายไป เราเลยตะโกนหา ... ไม่มีเสียงตอบกลับมา.... ซวยแล้ว เกิดไรขึ้นป่าววะ กำลังจะ (ปีน) ขึ้นไปตาม นางก็ลงมาพอดีพร้อมกับอวดรูปที่ถ่ายมาได้ พวกเราสามสี่คนเดินขึ้นไปบ้าง อีกสองคนนั่งดมยาดมรออยู่ข้างล่าง





บรรยากาศชิวดีไม่เลว ชั่วพริบตาเดียวตรงนั้น พวกเราเห็นรุ้งน้อยๆพาดผ่านภูเขา ก่อนที่ท้องฟ้าจะส่งก้อนเมฆสีดำ เสียงคำราม และสายฝนลงมาอย่างไม่ปราณี จากที่ “ปีน” ขึ้นมา ก็ถึงคราว “ปีน” ลง และวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด เปียกปอนกันถ้วนหน้า ยังไม่พอ วิ่งมาถึงที่ร้านอาหารตรงข้ามที่พักแล้วพบว่า “ไฟดับ” กรรมล่ะสิ หนาวก็หนาว หิวก็หิว มืดก็มืด  โชคดีที่ร้านเค้ายังขายข้าวอยู่ กินข้าวกันเลยละกัน ใต้แสงเทียนนี่แหละ สักพักใหญ่ๆ ไฟก็มา รอดตาย

วันที่ 6 ตค.57
จุดหมายของเราเช้านี้คือ สวนสนบ่อแก้ว ห่างจากออบหลวงประมาณ 30 นาที ระหว่างทางที่ไปถนนถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอก มันช่างวิเศษ สถานที่แห่งนี้มันช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร ชอบอ่ะ



















อำลาดินแดนสวนสน มุ่งหน้าตัวเมืองเชียงใหม่ เรากลับไปพักที่โรงแรมเดิม กินข้าวที่ร้านเดิม (ก็ยังไม่เบื่อนะ)

วันที่ 7 ตค 57
ทัวร์เล็กน้อยในเมืองเชียงใหม่ ก่อนขึ้นเครื่องกลับบ้าน











เชียงใหม่ ไปกี่ทีก็ไม่เบื่อเลย มีที่สวยงามมากมายให้เราไปเยือน ทริปนี้สนุกมาก ได้รู้จักและพบเพื่อนใหม่  มิตรภาพ  ความสนุกมันเกิดขึ้นระหว่างทาง  

ขอบคุณผู้ร่วมเดินทางทุกคน
ขอบคุณลุงนพที่เป็นมากกว่าคนขับรถ ลุงเข้าใจหัวอกนักเดินทางอย่างแท้จริง (โทร 0869167552) แอบโฆษณาให้ด้วย
ขอบคุณท้องทุ่งนา ขุนเขา  เมฆหมอก ต้นไม้ และสายฝน



จบบริบูรณ์ แก้ไขข้อความเมื่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น