จริงๆ ก็แอบเขินนะเนี่ยเป็นสาวเป็นนางมาตั้งกระทู้แบบนี้ แต่ตอนที่ไปพักก็คิดว่าเข้าพักเพื่อประสบการณ์ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้เข้า Love Hotel อันเลื่องลือกับเค้ามาเหมือนกันนะเฟ้ย แล้วก็ควรเอาประสบการณ์มาแบ่งปันคนอื่นๆ บ้างเผื่อใครอยากจะหาโอกาสไปซื้อประสบการณ์แบบนี้บ้างสักครั้ง
เรื่องของเรื่องคือเราไปเที่ยวคิวชูตามโปร Jetstar เหมือนชาวบ้านเค้านั่นแหละค่ะ จองไว้ตั้งแต่เปิดตัวเดือนก.พ.โน้น แล้วเดินทางเมื่อเดือนต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา แล้วพอใกล้วันเดินทางเพื่อนของเราคนนึงที่ก่อนหน้านี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โอซาก้าก็โพสต์ในเฟสบุ๊คว่ากำลังจะย้ายไปอยู่ฟุกุโอกะเดือนต.ค. เพราะได้งานที่มหาวิทยาลัยในคิวชู พวกเราเลยนัดแนะกันว่าเดี๋ยวเจอกัน ไปเที่ยวด้วยกันซักเสาร์-อาทิตย์นึงนะ เพราะตัวเค้าเองก็คงยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวในคิวชูเท่าไหร่ สรุปตกลงกันว่าจะไป Mt. Aso กันวันเสาร์ แล้วเดี๋ยวเรากลับมานอนฟุกุโอกะจากนั้นก็ไปนางาซากิกันวันรุ่งขึ้นเพราะที่นางาซากิจะมีเทศกาล Maruyama Hana ที่เป็นการแห่เกอิชาพอดี แต่พอเราไปถึงฟุกุโอกะคุยกันไปคุยกันมานางขี้เกียจกลับจากคุมะโมโตะไปฟุกุโอกะแล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องไปนางาซากิอีก หาที่พักไม่ที่คุมะโมโตะก็ที่ไหนสักที่ระหว่างทางเหอะ ที่คุยกันนี่คืนวันพฤหัสฯ แล้วนะคะ แล้วที่จะไปเป็นวันเสาร์จะหาที่พักทันมั้ย เราเลยปิ๊งไอเดียว่าอยากลองพัก Love Hotel แบบว่าอ่านการ์ตูนเจอบ่อยๆ สรุปก็คือเอาก็เอา ลองก็ลอง ไปไหนไปกัน 555555555
แต่ด้วยความที่เป็น Love Hotel มันก็หาข้อมูลลำบากนะคะ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด ภาษาญี่ปุ่นของเพื่อนเราก็ระดับอนุบาลมากๆ พึ่งพาไม่ได้เลย ระหว่างที่เที่ยว Mt. Aso กับคุมะโมโตะช่วงที่นั่งรถไฟหรืออะไรนี่ก็พยายามหากันใหญ่เลยว่าเราจะพักที่ไหนกันดี แล้วจะพักเมืองไหนที่จะเป็นทางผ่านจากคุมะโมโตะไปนางาซากิ ตอนแรกว่าจะไป Tosu แต่เท่าที่หาๆ โรงแรมที่เจอก็ไม่ค่อยถูกใจ แล้วดูเป็นเมืองเล็กๆ ไม่น่าจะมีเยอะ จนไปถึงสถานี Kurume ตอนแรกตั้งใจจะต่อรถไป Tosu อยู่แล้ว แต่ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะขึ้นรถไฟต่อดีมั้ยก็เสิร์ชใน google เจอโรงแรมนี้พอดี ดูจากรูปแล้วอลังการงานสร้างดี ราคาก็โอเค
อันนี้เว็บของโรงแรมค่ะ http://www.chapel-hotel.co.jp/fukuoka/h073
ตอนนั้นก็ค่อนข้างดึกแล้วนะคะประมาณ 3 ทุ่มได้ (ที่จำได้เพราะมันมีเหตุค่ะ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง) ฝนก็ตกปรอยๆ แถมเดินทางมาทั้งวันด้วยเพราะออกจากฟุกุโอกะตั้งแต่เช้า แบกเป้ใบเล็กก็จริงแต่แบกนานๆ มันก็หนักนะ (เรามีสัมภาระที่จะต้องเอาติดตัวไปพักนางาซากิต่ออีก 1 คืน แล้วเดินทางต่อไปยุฟุอินที่ส่งกระเป๋าใบใหญ่ไปรอแล้ว) จากสถานี Kurume ต้องนั่งรถเมล์แล้วเดินต่ออีกนิดนึง อยู่ใกล้ๆ คลองในย่านที่ค่อนข้างคึกคักในเวลาค่ำคืนของ Kurume (แบบว่ามีบาร์เบอร์อะไรเยอะพอสมควรอ่ะค่ะ แต่ด้วยความที่เราไม่เคยหาข้อมูลของ Kurume เลยเนื่องจากไม่อยู่ในแผน เราเลยไม่รู้ว่ามันเป็นย่านอะไร แต่ไม่ไกลจากสถานีมากนักอ่ะ) ระหว่างที่เดินๆ อยู่ก็สังเกตุเห็นหนุ่มคนนึงลักษณะเหมือนพนักงานบริษัทที่เดินทางมาด้วยกันตั้งแต่สถานี Kurume จนขึ้นรถเมล์และเดิน สรุปนางมีจุดหมายเดียวกันกับเราค่ะ แต่นางมาคนเดียวคงประมาณว่าหาที่พักเอาสะดวกอ่ะ
หลังจากเข้าไปแล้วจะเจอป้ายหมายเลขห้อง พร้อมรูปถ่ายของห้อง เหมือนให้เราเลือกอ่ะค่ะ แล้วก็จะมีหลอดไฟอยู่ด้านบนของรูปห้อง ตอนเข้าไปสังเกตุว่าไฟทุกดวงดับหมดยกเว้นอยู่ห้องเดียว โอ้ววววววว......แปลว่าเหลือห้องเดียวหรือว่าตอนนี้ว่างหมดยกเว้นห้องนั้นฟระ! แต่ด้วยความที่พวกเราก้าวเข้าไปหลังพ่อพนักงานบริษัทเราเลยต้องให้เค้าจัดการก่อนค่ะ เค้าก็เข้าไปคุยนู้นนี่จ่ายตังค์รับกุญแจ พอเค้ารับกุญแจปั๊บไฟดวงเดียวที่ติดอยู่ก็ดับวูบลงค่ะ ณ ตอนนั้นในใจเรานี่กรีดร้องเลยค่ะ "ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยย ชั้นขี้เกียจหาที่ใหม่ ชั้นทั้ง google ทั้ง google translate จนตาจะแหลกอยู่แล้ว ม่ายยยยยยยยยยยยยยนะ" แต่เราก็ส่งเพื่อนไปฟุดฟิดฟอไฟภาษาญี่ปุ่นกับรีเซฟชั่นค่ะ
เพื่อนคุยอยู่แป็บนึงเราก็ถามว่า "ตกลงเค้าว่าไง"
เพื่อนบอก "ไม่รู้ ฟังไม่ออก"
"เฮ้ยยยยยยย แล้วที่อะน่งอะโน่ไปนี่ไม่รู้เรื่องเลย?"
"อือ เค้าบอกอะไรสักอย่าง 4 ทุ่ม สงสัยให้กลับมาใหม่ตอน 4 ทุ่มมั้ง อาจจะเป็นเวลาที่มีคนออกจากห้องอะไรงี้"
เราก็แบบ "เฮ้ย.....ใครมันจะมาจ้ำบ๊ะกันตั้งแต่หัวค่ำวันเสาร์จนห้องเต็มขนาดนี้วะ"
ระหว่างที่เรากำลังจะกรี๊ดแตกด้วยความเหนื่อยและเพลียก็มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเข้ามาค่ะ แอบสงสารน้องผู้หญิงอ่ะ นางเขินมากที่มาโดนเจอเข้าโรงแรมกับผู้ชาย ถ้าแทรกแผ่นดินหนีได้นางคงทำอ่ะเพราะทั้งพยายามเอาผมมาปิดหน้า หลบหลังผู้ชาย ในขณะที่เราก็เป็นสตรีที่มากับผู้ชายเช่นกันแต่ไม่มีอารมณ์จะก้มหน้างุดๆ หรือแอบหลังผู้ชายเหมือนน้องเค้าค่ะ ตอนนั้นกำลังเซ็งและเหนื่อยสุดๆ หนุ่มสาวคู่นี้ดูไม่ได้สนใจไอ้ป้ายไฟเบอร์ห้องอะไรเลย เข้าไปติดต่อรีเซฟชั่น แล้วเค้าก็ควักตังค์จ่ายรับกุญแจและจากพวกเราไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปทำกิจกรรมจึ๊กกะดึ๋ยของเค้าค่ะ เราสองคนนี่ยืนมองหน้ากันแบบว่าตกลงมันยังไงวะไหนลองไปคุยใหม่ดิ คราวนี้เราไปยืนมุงด้วยค่ะ (มันจะเป็นเคาน์เตอร์มีประตูบานเลื่อนเล็กๆ เปิดปิด เข้าใจว่าพยายามให้มี human contact น้อยที่สุดเพื่อความสบายใจของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าสาวๆ ที่คงจะเขินกันทุกคนตามประสาสาวญี่ปุ่น)
เรา - บอกเค้าไปซิว่า stay อ่ะ (จากการหาข้อมูลมันจะแบ่งเป็นการพักแบบ rest คือชั่วคราวกับ stay คือค้างคืน แต่จริงๆ ที่นี่ถ้าเป็นวันธรรมดาจะราคาเดียวกันหมดคือ 3,990 เยนซึ่งถือว่าถูกมากกกกกก ลองเข้าไป google translate ในเว็บดูนะคะ)
พอรีเซฟชั่นได้ยินคำว่า stay ก็เอาตารางราคามาให้ดูค่ะ สรุปว่าด้วยความที่เป็นคืนวันเสาร์ ราคาสำหรับ stay จะอยู่ที่ 8,990 เยน โดยเข้าพักได้ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึง 11 โมงเช้า แล้วตอนนั้นนี่ประมาณสามทุ่มครึ่งแล้วค่ะ เค้าเลยเคาะเครื่องคิดเลขให้ดูว่ามาเข้าพักก่อนเวลาต้องจ่ายเพิ่มอีก 990 เยนนะ (990 เยนทุกๆ 30 นาทีค่ะ) อีเพื่อนยังมีหน้าหันมาถามว่าหรือเราจะรอ 4 ทุ่ม? (ตอนแรกรีเซฟชั่นอาจจะแนะนำประมาณนั้น เพื่อนเราถึงได้ยินแต่แค่ 4 ทุ่มๆ) เราก็แอบคิดในใจนะว่ามันแพงแต่ ณ จุดนั้นไม่ไหวแล้วค่ะ บอกเพื่อนว่าเอาๆ ไปเหอะเราเหนื่อยแล้วอ่ะ ควักตังค์ออกมาจ่ายแล้วก็ได้กุญแจมาค่ะ
ชื่อสินค้า: Hotel R Kurume
คะแนน:
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
แก้ไขข้อความเมื่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น