วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Movie Time in Singapore

มาแล้วครับผม Special Report ! ที่ทุกท่านรอคอย กะภารกิจตะลุยโรงหนัง ณ สิงคโปร์ ด้วยเวลาอันจำกัดและเหตุผลอีกนานัปการทำให้สามารถจัดมาได้แค่รอบเดียว โรงเดียว คือตั้งใจว่าจะดูมากกว่านี้แหละ แต่ไม่ได้จริงๆ ที่จะว่าไปแล้วโรงหนัง ณ สิงคโปร์ กะโรงหนัง ณ ไทยแลนด์ นี่แทบจะไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันซักเท่าไหร่เลย เลยจะขอแทรกประเด็นอื่นๆ ไปแบบเนียนๆ ละกันนะ 1. เราว่าสิงคโปร์นี่น่าจะเป็นประเทศที่แยกว่าใครเป็น citizen หรือถือสัญชาติสิงคโปร์จริงๆ ได้ยากที้สุดแล้วล่ะมั้ง คือแบบประชากรส่วนใหญ่นี่หน้าตาออกจีนๆ ตี๋ๆ หมวยๆ กันไปหมด อย่างที่เจอมา 2 ครั้งก็คือเราเข้าไปถามทาง เราก็พยายามเลือกคนที่แบบวัยกลางคนหน่อยและดูท่าทางว่าน่าจะเป็นคนทำงานที่นี่ล่ะ ก็เข้าไปถาม เจอบอก I'm not local. นี่จบนะ ‪#‎สลัดแมว‬ ก็กูแยกไม่ออกอ่ะ สุดท้ายเลยไปถามเจ้าหน้าที่(ที่คาดว่าน่าจะเป็น)ตำรวจ นี่ถ้าเจ้าหน้าที่คนนั้นบอก I,m not local อีกกูคงกระโดดถีบหัวอ่ะ นอกจากนี้ประชากรอีกไม่น้อยยังมีหน้าตาแขกๆ ที่เราขอเหมารวมว่าเป็นอินเดียนะ เพราะมีย่าน Little India ชัดเจน และโดยเฉพาะย่านที่ว่า มองไปทางไหนนี่มีแต่แขก แถมยังมีวัด(ที่ไม่รู้เค้าเรียกว่าวัดเปล่า) อยู่อีกเยอะแยะหลายวัด เราแอบเข้าไปร่วมพิธีกรรมที่ดูศักดิ์สิทธิ์กะเค้ามาด้วย 2. สิงคโปร์ แน่นอนขึ้นชื่อเรื่องความสะอาด และมันก็เป็นอย่างที่เค้าร่ำลือกันจริงๆ คือในตัวเมืองหรือสถานที่สำคัญๆ นี่แบบสะอาดมาก มองหาขยะนี่ไม่เจอหรือเจอก็แบบน้อยมาก และยิ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว เราว่านักท่องเที่ยวที่ไปเยือนยิ่งต้องระวังตัว ไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ดีอย่างเรื่องทิ้งขยะมั่วๆ นี่มากอยู่แล้ว แต่ย่านที่เราพักคือ Geylang ที่ค่อนข้างจะนอกเมืองหน่อย และที่สำคัญที่พักราคาถู(มาก) แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะห่างจาก MRT ด้วยการเดินเพียง 5 นาที คือโดยรวมมันก็ดูสะอาดตาดีอ่ะนะแต่มันก็ไม่ได้สะอาดเรียบร้อยเหมือนย่านเมืองใหญ่ แถมเพิ่งรู้เอาตอนที่ไปถึงว่าย่านนี้มันเป็นย่านแบบนั้น(แบบนั้นนั่นแหละ ไม่ต้องงง) เราจึงได้เห็นแผงแบกะดินวางขายยาปลุกเซ็กส์หรืออะไรทำนองนั้นกันมากมายพอสมควร ก็ขำๆ อ่ะนะ 3. สิงคโปร์ เป็นเมืองที่ค่าครองชีพค่อนข้างแพงและทุกสิ่งอย่างนี่เป็นเงินเป็นทองหมด น้ำเปล่าขวดเล็กๆ ที่บ้านเรา 7 บาทแต่ที่นั่น 30-50 บาทอยู่ีแหล่งที่ขาย และน่าจะเป็นประเทศที่ขาช็อปน่าจะถูกใจเป็นที่สุด ในตัวเมืองจะเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า ห้างเล็กห้างน้อย หรูหราไฮโซไปจนถึงธรรมดา แม้กระทั่งทางเดินเชื่อม MRT ก็ยังเต็มไปด้วยร้านค้า Brand name ต่างๆ มากมายและแน่นอนโดยเฉพาะ Orchard ห้างนับไม่ถ้วน(ไม่อยากนับจริงๆ) เรียงรายอยู่ทั้ง 2 ฝั่งถนนแบบเดินออกห้างนี้เข้าห้างนั้นได้แบบง่ายมั่กๆ เรียกว่าขอให้มีเงินเหอะ ! 4. และแล้วเราก็ได้ดูหนังที่ย่านนี้แหละ ในห้าง Shaw House ซึ่งมีสัญลักษณ์ของ Shaw Brothers แปะไว้อยู่ เท่าที่เห็นนะ ก็เป็นห้างนี่แหละ ก็มีร้านค้า ร้านอาหารมากแหละ และโรงหนังจะอยู่ชั้นบนสุด เท่าที่สังเกตุเห็นนะ หลายๆ ห้างจะมีโรงหนังอยู่ แต่ไม่ได้เข้าไปสัมผัสอ่ะ 5. จากการคำนวณเวลานั่นนี่ ดูรอบฉายนี่นั่นแล้ว หนังที่มีรอบฉายที่สามารถดูได้สะดวกที่สุดก็เรื่อง Pompeii (น่าจะเข้าฉายพร้อมประเทศไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก) และจากที่สังเกตุการณ์ดู หนังที่เข้าฉายที่สิงคโปร์ ค่อนข้างหลากหลาย ทั้งหนัง Blockbuster หนังรางวัลออสการ์ หนังจีน หนังอินเดีย ฯ มีให้เลือกดูเยอะแยะมากแต่ที่รู้สึกภูมิใจเล็กๆ คือช่วงเวลาที่ไปมีหนังไทยอย่าง ตี 3 คืน 2 เข้าฉายอย่ด้วยนะและมีโฆษณาของ ฮาชิมะ โปรเจคท์ ที่กำลังจะเข้าฉายในเดือนมีนาคมด้วย แต่หนังที่เป็นหนังสิงคโปร์จริงๆ น่าจะน้อยมาก เพราะช่วงเวลาที่ไปดูไม่มีฉายนะ มีแต่ป้ายโฆษณาว่ากำลังจะเข้าเพียงเรื่องเดียวเอง 6. ราคาบัตรภาพยนตร์ 1 เรื่องอยู่ที่ 7-9 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยที่ราวๆ 200 บาทต้นๆ ถ้าเทียบกันแล้วเราว่าไม่แพงนะ เพราะที่ไทยบางโรงที่นั่งแบบธรรมดามากๆ ยังเกิน 200 เลย แต่ Pompeii นี้ได้ดูในระบบ 3D ราคาอยู่ที่ 14 เหรียญบวกค่าแว่นตา 3D อีก 2 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยที่ 400 ต้นๆ นับว่าแพงกว่าที่ไทยอยู่พอสมควร จริงๆ อยากลอง Imax นะแต่ไม่สามารถเลยบอกไม่ได้ว่าราคาเท่าไหร่ ยังไง popcorn ที่นี่ก็มีขายเป็น set แบบของไทยนี่แหละ ชุดที่ซื้อนี่เป็นชุดเล็กที่สุดราคาก็ 7 เหรียญ ไม่ถึง 200 บาท ถือว่าโอเลยนะ 7. โรงหนัง จากโรงที่ได้สัมผัสเราว่าแทบไม่ต่างจากเมืองไทยเลย จะมีที่ชัดๆ ก็ slope ของแถวที่นั่งนี่ค่อนข้างมากทำให้หมดปัญหาแถวหน้าบังไปได้สบายๆ ตัวอย่างหนังน้อยมาก น่าจะเรื่องหรือ 2 เรื่องแค่นั้น ส่วนโฆษณาก็มีแหละ และเราว่ามันมากกว่าตัวอย่างหนังด้วย โอเค ‪#‎ทุนนิยมนี่มัน ยิ้มจริงๆ‬ ตัวหนังเป็นเสียงอังกฤษ ซับจีน ก็ดูแบบเงิบเล็กๆ แหละแต่ตัวหนังค่อนข้างดูง่าย ไม่มี dialogue ที่ซับซ้อนเลยถูๆ ไถๆ รู้เรื่องกันไป 8. วัฒนธรรมการดูหนังนี่ก็คล้ายๆ คนไทย ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์หรือคนคุยโทรศัพท์นะแต่เห็นมันหยิบมือถือขึ้นมาแชท สลัดแมวเอ้ย แสงยิ้มเข้าคนอื่นเค้านะ หนังจบก็จบกัน ลุกออกกันพรึ่บพรั่บ แทบไม่มีใครอยู่ดู end credit จนเป็นเรานี่แหละที่ออกจากโรงเป็นคนสุดท้าย ก็ประมาณนี้แหละที่พอจะนึกได้ จำได้ เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์การดูหนังนอกประเทศไทย จนเราก็คิดๆ และว่านี่กูบ้าหรือเปล่าวะ คนอื่นไปต้างประเทศ โรงหนังน่าจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายล่ะมั้งที่จะนึกถึงและลองไปสัมผัส แต่กูนี่มองหาโรงหนังเป้าหมาย และเวลาที่จะได้เข้าโรงหนังตลอดๆ ‪#‎เอาวะ‬ ‪#‎มาทางนี้แล้วนี่‬

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น