วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2557
มั่วๆ มึนๆ ไปถึงอินโดฯ – Surabaya – Bromo – Madakaripura ตอน 1
อยากเที่ยวจนลงแดง นั่งหาข้อมูลจะไปรัสเซีย ไปๆ มาๆ ก็เจอกระทู้สุราบายา โบรโม่
เห็นครั้งแรกก็คิดในใจว่า มันที่ไหน (ฟระ) ไม่เห็นเคยได้ยิน ลองเข้าไปอ่านดูดิ๊
พอเห็นรูปเท่านั้นแหละ โอ้วววว!!! แม่เจ้า!!! เฮ้ยยย!!! ทำไมสวยงี้อ้ะ!!! เฮ้ยยย!!! เฮ้ยยย!!!
ตัดสินทันใด ฉันจะไปที่นี่แหละ เย่!
ก่อนเข้าเรื่องต้องขอบคุณรีวิวด้านล่างในพันทิปนะคะ เปิดโลก เปิดตา แล้วก็ทำให้เรากล้าออกจาก comfort zonehttp://2g.pantip.com/cafe/gallery/topic/G12087790/G12087790.htmlhttp://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2012/05/E12103960/E12103960.htmlhttp://2g.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E12646120/E12646120.htmlhttp://pantip.com/topic/30900531
เอาล่ะ ตัดสินใจแน่แน่วแล้วว่าจะไปหารักแท้ เอ้ย! โบรโม่ให้ได้ ก็เริ่มวางแผนการเดินทาง
บอกกับตัวเองว่า เฮ้ยย แกจะไปคนเดียวนะ ต่างแดนนะ ต้องวางแผนให้ดีนะเว้ย มีสติ แต่ต้องประหยัดนะเว้ยย ยิ่งเป็นคนมีฐานะ (ยากจน) อยู่
คิดได้ดังนั้นก็วางแผนนู่นนี่นั่น ปุ๊บๆ ปั๊บๆ ถึงวันไปซะละ
เราเดินทางด้วยสายการบิน AA ที่ในตอนนั้นยังมีบินตรงไปสุราบายาอยู่ และจองมาแบบเบลอๆ (ไหนว่าต้องมีสติ)
เที่ยวบินออกจากสยามประเทศค่ำๆ เข้าสู่ดินแดนอิเหนาช่วงเที่ยงคืน นอนคอพับคออ่อนบนเครื่องไปค่ะ
ถึงปุ๊บ เดินออกมาปั๊บ มองหาป้ายชื่อตัวเองเลยจ้า รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางเอกในหนังที่จะเจอพระเอกถือป้ายชื่อพร้อมดอกไม้มารอรับ
แต่พอเห็นชื่อตัวเองเท่านั้นแหละ โอ้ยยย พังค่ะพัง นั่นมันชื่อชั้นที่คำนำหน้าเป็น Mr.
ทั้งเราทั้งคนมารับเหวอกันไปสองวิฯ แต่ทำไงได้ เดินยิ้มเข้าไปสวยๆ แล้วบอกว่า ชื่อชั้นเองแหละ
เค้ายังมาเหวอใส่ โชว์พาสปอร์ตไป โอเค เคลียร์นะ
ขึ้นรถของโรงแรมที่จองไว้เรียบร้อย ในใจก็แอบคิด เฮ้ย ถ้าไม่ใช่รถโรงแรมจะทำไงวะ มืดก็มืด เงียบโคตรอีกตังหาก
คนส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะพูดอังกฤษได้ แต่ก็ยังโลกสวยว่าไม่หรอกๆ เราจองไว้อย่างดี ตังค์ก็จ่ายไม่ใช่รถฟรี โรงแรมก็โอเคระดับหนึ่ง ปลอดภัยๆ
คิดไป มองข้างทางไป เงียบๆ อยู่สักพัก...
“บรื้นนนนนนนนนๆๆๆ”
แล้วสิ่งที่เห็นก็คือ เด็กแว๊นอินโดฯ ค่า อื้อหืออ มากันเป็นแก๊ง เหมือนบ้านเราไม่มีผิด นี่ชั้นยังอยู่สยามรึนี่
แล้วในที่สุดก็มาถึงที่พักในคืนแรกด้วยดี ณ ที่นี้ Artotel Surabaya นอนสิคะนอน ตีสองกว่าแล้ววว
ตื่นเช้ามาด้วยความหิว ลงไปกินข้าวแล้วสำรวจโรงแรมเล็กน้อย
ตามชื่อโรงแรมเลย Artotel = art + hotel เลยมีศิลปะแทรกอยู่ทุกที่
ขำ เอ้า ขำ กร๊ากกกกกก
จำไม่ได้แล้วว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง เรากินง่ายอะไรก็กิน เลยสบายหน่อย
อาหารอร่อยใช้ได้ ไม่กินแล้วผงะ โดยเฉพาะไข่ที่หน้าตาเหมือนคลุกโคลนมา ถึงหน้าตาจะแย่ไปนิด แต่อร่อยนะจ๊ะ เบิ้ลเลยสิ โฮะๆ
อิ่มท้อง กายพร้อม ออกไปเดินดูเมืองนิดนึงดีกว่า ระหว่างรอรถเช่ามารับ
ตามทางที่เดินไปจะเห็นรถเข็นแบบนี้เป็นระยะ คล้ายรถขายผลไม้บ้านเรา
ในนั้นเท่าที่เห็นจากแอบชายตามองขณะเดินผ่านแบบเอื่อยๆ ก็จะเป็นผลไม้ต่างๆ นานา ฝรั่ง สับปะรด มันแกว องุ่น แตงโม แตงกวา ห๊ะ!
ต่อมสงสัยทำงาน เค้าขายอะไร ก็เลยเดินส่องร้านอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ฮาๆๆ ไม่ซื้อนะ ก็สรุปเอาเองได้ว่าเป็นอาหารแนวสลัด
คือคนขายจะจัดใส่กล่องไว้ ข้างในก็มีผลไม้ แตงกวา เต้าหู้ทอด ประมาณนี้ น่าจะเป็นอาหารเช้าของคนที่นี่ เสียดายไม่ได้ลอง มัวแต่งก
สามล้อมั๊ยน้อง! (ได้ข่าวว่าแอบถ่ายตอนคุณลุงเผลอ)
ร้อนละ เหนื่อยละ กลับเข้าห้องพักไปเก็บของ ตากแอร์ รอรถเช่ามารับดีกว่า
รถที่เราเช่าเป็นของบริษัท Pink house ค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวว่า ถูกที่สุด หุหุ ตอนจองนั้นรอการตอบกลับนานมาก
รอจนใกล้จะเดินทางอยู่ละ ก็ยังไม่ได้รับอีเมลคอนเฟิร์มใดๆ เลยส่งอีเมลกลับไปหาอีกที
Patricia ก็ตอบกลับมาค่ะ (นางเป็นเจ้าของที่หลงใหลสีชมพูมากกกกกกกก แม้แต่บ้านก็สีชมพู – ตามปากคำคนขับรถนะ อิอิ)
รอดตัวไป นึกว่าจะต้องด้นสดซะแล้ว
นั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมถึงประมาณบ่ายโมง รถเช่าก็มารับตามเวลาที่นัดไว้
คนขับชื่อ Adit หลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับเค้าอยู่ อัธยาศัยดีมาก บริการเยี่ยม ได้เพื่อนเลยจ้างานนี้
รถเล็กสีชมพูที่พาเราเที่ยว เข้าไปในรถก็มีเจ้านี่อยู่หน้ารถด้วย
จากสุราบายาไปโพรโบลิงโก (Probolinggo) เมืองที่จะไปหาโบรโม่นั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง
นั่งรถชมวิวกันไปชิวๆ เม้ามอยกับอาทิดกันไปเพลินๆ ก็มาถึงละ
ระหว่างทางไปที่พัก อาทิดพาแวะไร่สตอร์เบอรี่ เค้าบอกว่าเก็บกินได้เลย โอ้วว เสร็จชั้นล่ะ!
เสร็จจริงๆ แต่ไม่ใช่สตอร์เบอรี่เพียงอย่างเดียว กล้องคอมแพ็คที่พาไปด้วยนั้นสั่นเป็นเจ้าเข้าเลยอ้ะ
จริงๆ พอรู้อยู่แล้วว่ากล้องไม่ค่อยดี (คนให้ยืมบอกมา) แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่แสดงอาการใดๆ นิ
พอขึ้นเขามาเข้าด้ายเข้าเข็มเท่านั้นล่ะ สั่นหงึกๆๆๆ ไม่หยุดเลย
ทำไงล่ะ ถ่ายออกมาก็เบลอ เลยปิดแล้วเปิดใหม่ หงึกๆๆๆๆๆ
ด๊ายยยยยย ชั้นไม่ง้อก็ด๊ายยยย โทรศัพท์ชั้นก็ถ่ายได้ย่ะ เชอะ!!
กินสตอฯ เสร็จ ก็ไปแวะเช่ารถจิ๊ป แล้วก็เข้าที่พักที่นี่เลย Cemara Indah
เก็บของสองนาที ก็ออกไปนั่งรถชมวิวโดยรอบ อากาศดีมากกกกก
ช่วงเย็นๆ อากาศจะกำลังเย็นๆ สบายๆ เสื้อยืด กางเกงขาสั้นยังชิวได้
ขากลับที่พัก อาทิดแนะนำให้กินนี่เลย สะเต๊ะไก่
คนที่นี่จะกินสะเต๊ะกับข้าวนึ่ง เป็นข้าวธรรมดานี่ล่ะ ไปมัดในใบตองล่ะมั้ง แล้วก็เอาไปนึ่งจนมันนิ่มเละ
รสชาติก็จืดๆ กินกับสะเต๊ะอร่อยเข้ากันดี
นั่งกินหน้าที่พัก วิวงาม อากาศดี ขาดก็แต่คนนั่งกินด้วยนี่แหละนะ
กินไป ชมวิวไป เพลิดเพลินเจริญใจ แล้วก็นึกได้ว่า เออ ต้องถามพี่ (เจ้าของกล้อง) นี่หว่าว่าจะจัดการน้องสั่นยังไง
สรุปความได้ว่า ถ้าเปิดน้อง แล้วน้องหนาวสั่นล่ะก็ ให้เขย่าจ้ะ เขย่าๆๆๆ ไป แล้วน้องจะหายหนาวเอง
โอเค ลองดู เปิดปุ๊บ สั่นปั๊บ เขย่าสิคะ เขย่าๆๆๆ เฮ้ย หายจริงหว่ะ!! แต่ทนอายรอบข้างนิดนึง
กินเสร็จก็เดินกลับเข้าห้องไปจัดการตัวเองนิดหน่อย แล้วก็พบว่าในห้องไม่มีสัญญาณ Wi-Fi
โอเค เดินไปข้างหน้าก็ได้ หยิบมือถือ กุญแจ ใส่แตะ เปิดประตู เจอลมตีหน้า ผงะ!!!
คือมันหนาวมากกกกกกก ไม่ได้คิดว่าจะหนาวขนาดนี้ นี่มันหัวค่ำนะ ใส่เสื้อสองชั้นแล้วนะ
เลยต้องหยิบโค้ทที่เช่าจากโรงแรมไว้มาใส่ แล้วก็ใส่ถุงเท้า ออกไปใหม่ โอเค ผ่าน
เดินออกมาตามทางก็เงยหน้ามองฟ้าดูเรื่อยเปื่อยตามประสาคนชอบดูสุริยา จันทรา ดารา โฮะๆ
แล้วก็อุทานออกมาแบบลืมเก็บอาการว่า “อื้อหืออออ!!!”
ฟ้ามันมีแต่ดาวอ้ะ โอ้ยยยย เต็มไปหมดเลย โอ้ยยยยย อยากอวดให้ใครๆ ได้เห็นด้วยอ้ะ
โอ้ยยยย กล้องถ่ายไม่ติด โอ้ยยยยย เสียดายยยยยยย
ดื่มด่ำบรรยากาศจนอวบอ้วน เอ้ย อิ่มเอิบ อัพเดตข่าวคราวให้ทางบ้านรู้จนเสร็จสิ้น ก็กลับไปนอนเอาแรงดีกว่า ต้องตื่นตีสามนะเออ
ชุดนอนนั้นไซร้คือ เสื้อสามชั้น โค้ท กางเกงขายาว ถุงเท้าสองชั้น และทับด้วยผ้าห่มและผ้านวม หลับสบาย
ตื่นมาเตรียมตัวรอผู้ชายมาเคาะห้อง
ตีสี่กว่าๆ ฟ้ายังมืดมิด ชายหนุ่มอาทิดก็มาเคาะตามสัญญา ถึงเวลานั่งจิ๊ปขึ้นเขาไปชมวิวกัน
จุดที่เราจะไปชมวิวคือบนเขา Penanjakan ก่อนเข้าไปก็ต้องเสียค่าเข้ากันก่อน ซึ่งเป็นตั๋วที่รวมการเดินขึ้นโบรโม่ด้วย
คือทั้งหมดทั้งมวลเป็นพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติของเค้า ประมาณนั้น
ทางขึ้นเขามืดมาก คดเคี้ยวพอควร ถนนเล็ก ข้างนึงเป็นกำแพงเขา อีกข้างเป็นเหว
อาทิดเล่าให้ฟังว่าเคยมีรถจิ๊ปขับตกถนนไปด้วยเพราะเมา O_o
พอขึ้นมาถึงจุดจอดรถ คนขับรถจิ๊ปก็ให้เราจำเลขรถไว้ แล้วบอกว่าจะรอแถวนี้ จุดชมวิวอยู่บนนู้น เดินขึ้นไปหน่อย
เราก็เอ๋อๆ เหวอๆ พยักหน้าหงึกๆ โอเคๆ จำเลขๆ เดินๆ
เดินขึ้นไปที่จุดชมวิว จับจองพื้นที่ แล้วก็รอๆๆ ระหว่างนี้ก็เทสต์กล้องไปด้วย
เปิดปุ๊บ สั่นปั๊บ เขย่าๆๆๆ กดนู่นนี่เล่น ถ่ายไปถ่ายมา สั่นหงึกๆๆๆ อีก เขย่าๆๆๆๆๆๆ
เขย่าจนคุณป้าชาวฝรั่งเศสที่ยืนข้างๆ หันมามอง
เราก็หันไปยิ้มๆ แล้วส่งสายตาสื่อความไปว่า อ๋อ มันหนาวอ่ะค่ะ เลยสะบัดมือแก้หนาว
ฉันคิดถึงเธอตั้งแต่พลบค่ำจนอุสาสางงงงง
รอตั้งแต่มืดตื๋อ จนเริ่มมีแสงขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วความงามก็ค่อยๆ ปรากฏตรงหน้า
ลูกที่พ่นควันปุ๋งคือสุเมรุ ส่วนด้านล่างที่มีควันโขมงเยอะๆ คือโบรโม่
นี่เป็นหมู่บ้านที่เรานอนพักเมื่อคืน
อยากจะบอกว่าภาพที่เอามาให้ทุกคนดูเนี่ยมันไม่ได้ครึ่งของความงามที่ได้เห็นตรงหน้า (ฝีมือห่วยนั่นเอง)
ภาพตรงหน้ามันสวยระเบิดระเบ้อ สวยอลัง สวยแบบอธิบายไม่ได้อ่ะ สวยเฟร่อ!!!
ได้เวลาอันควรเราก็เดินกลับลงมาที่รถจิ๊ปที่จอดรอกันเป็นทิวแถว
จากนี้เราจะลงเขาแล้วไปยัง Sea of Sand เพื่อขึ้นไปที่โบรโม่กัน
การขึ้นโบรโม่มีสองวิธีคือเดินดุ่ยๆ ลุยๆ ขึ้นไป กับขี่ม้าแล้วเดินต่ออีกหน่อย
วัยสาวสะพรั่งอย่างเราจะขึ้นม้าทำไม เดินเอาสิ ฟิตมาพร้อม (จริงๆ คืองกค่าม้า)
ขาพร้อม ลุยโลด!
ตื๊อตลอดทางเลย ราคาลดลงเรื่อยๆ ด้วย
โบรโม่พ่นควันฉุยๆ รออยู่ข้างหน้า
มองย้อนกลับหลังไปจากจุดที่เริ่มเดินมา
วัดที่ชาวบ้านเอาไว้ทำพิธี
ใกล้เข้าไปอีกนิด เชิ้บๆ
ใกล้เข้าไปอีกนิด แฮ่กๆ
อีกนิดเดียวเท่าน้านนนนนนนน
แล้วในที่สุด ในที่สุด ก็ขึ้นมาถึงจนได้
เอาล่ะ อย่าเพิ่งหมดแรงไป จุดหมายต่อไป ลุยน้ำตก Madakaripura กัน
ชื่อสินค้า: Surabaya indonesia
คะแนน:
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น