วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

10 วันในทิเบต : ความศรัทธาบนดินแดนหลังคาโลก ตามหาทางช้างเผือก Everest Base Camp ที่เกือบไม่ได้ไป (2)

มาต่อตอนที่ 2 ด้วยความรวดเร็ว ต้องรีบเขียนค่ะ เดี๋ยวลืมบางช่วงบางตอนไป ความเดิมต่อที่ 1 : เกี่ยวกับเกริ่นนำ การเตรียมตัวก่อนไป และรถไฟคืนแรกค่ะ 10 วันในทิเบต : ความศรัทธาบนดินแดนหลังคาโลก ตามหาทางช้างเผือก Everest Base Camp ที่เกือบไม่ได้ไป (1)http://pantip.com/topic/32766654 เราตื่นมาตอน 6 โมงเช้าเพราะปวดฉี่ เราพบว่า ห้องน้ำตอนเช้าตรู่นั้นสะอาดมาก คุ้มค่าแก่การตื่น แล้วก็กลับไปหลับต่อจนถึงเที่ยง ชาร์ตพลังเต็มที่ ประมาณบ่ายโมง ถึงสถานี Lanzhou ลืมบอกไปว่าเราสามารถแวะลงตามสถานีต่างๆได้ บางสถานี เช่นสถานีนี้ บรรยากาศซื้อขายของ อย่าถามหาคิว เพราะมันไม่มี อาหารที่ขายมีไก่ ข้าวโพด แป้งนึ่ง(คล้ายแป้งโรตี) แต่เราไม่สามารถแทรกตัวไปซื้อได้ทัน โดนเรียกขึ้นรถไฟก่อน เลยอดกินตั้งใจว่าจะไม่พลาดอีก วิวสองข้างทางจากเฉิงตูมาจนถึงซีหนิง เป็นภาพของชนบทของจีน บ้านชาวบ้านธรรมดาสร้างด้วยอิฐ ทำเกษตรกรรมปลูกกระหล่ำ ข้าวโพด(อันนี้เดาจากสิ่งที่เห็น) ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี เป็นสีเหลือง ส้ม สวยงาม ภูเขายังไม่สูงมากนัก มีเลี้ยงแกะประปราย วิวจากซิหนิง เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงคือ เราเริ่มเห็นภูเขามาขึ้น ด้านซ้ายมือของรถไฟ บางช่วงมีทะเลสาบใหญ่และสวยงาม มีออกซิเจนในตู้ที่นอน สามารถขอสายต่อได้ แต่ความสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ออกซิเจนก็จะพ่นออกมาเอง เนื่องจากว่างทั้งวัน วิวไม่ได้อลังการมากนัก จนเริ่มเดินสำรวจรถไฟ รถไฟที่เรานั่ง แบ่งเป็น - Soft sleeper มี 4 เตียง ใน 1 ห้อง ผู้คนส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยว อย่างเราได้อยู่กับนักท่องเที่ยวชาวไอร์แลนด์ 1 คู่ อีก 4-5 ห้องถัดไปเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่มากับกรุ๊ปทัวร์ ไม่ค่อยมาคนออกมานั่งเก้าอี้พับ บรรยากาศค่อนข้างสงบ มีประตูปิดและล็อคห้องได้ - Hard sleeper มี 6 เตียง ใน 1 ห้อง บรรยากาศค่อนข้างแออัด คนที่นอนตรงกลาง และด้านบนมักออกมา นั่งเก้าอี้พับหน้าห้อง ไม่มีประตูปิดห้อง ไม่กล้าถ่ายรูปมาให้ดู เดี๋ยวเค้าว่าเอา เพราะเราไม่ได้พักที่นี่ ส่วนมากเป็นคนจีน พูดคุยกันเสียงดังเป็นเรื่องธรรมดา ห้องน้ำค่อนข้างสกปรก คงเพราะคนเยอะกว่า - เก้าอี้นั่ง อันนี้คงสำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางไกล ไม่อยากนอน เค้าจะล็อคประตูระหว่างโบกี้ sleeper กับเก้าอี้นั่ง อาจเพราะกลัวคนที่นั่งเก้าอี้นั่งมาเข้าห้องน้ำ sleeper - สำหรับรถไฟขบวนเรา ไม่มี Dining room เลยอดไปนั่งชมวิว วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่รู้สึกเบื่อเลย นั่งๆนอนๆดูวิวไปเรื่อยๆ ส่วนอาหารการกิน ก็บะหมีกึ่งสำเร็จที่เตรียมมานั่นเอง เริ่มปรับตัวได้กับการไม่อาบน้ำเป็นวันที่ 2 ใช้ทิชชู่เปียกเช็ดตัวเอา คืนนี้เรานอนเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้จะตื่นมาดูวิว เนื่องจากอ่านรีวิวจากอินเตอร์เนตว่าวิวจะสวยตั้งแต่พรุ่งนี้(วันที่ 3 ของการนั่งรถไฟ) เรากิน Diamox วันละ 2 ครั้งเช้าเย็น ครั้งละเม็ด ตั้งแต่เมื่อวาน และกินต่อเนื่องทุกวัน วันนี้ไม่มีอาการ Altitude sickness สบายๆ มาถึงวันที่ 3 ความตั้งใจเดิมก่อนนอนคือ ตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น เตรียมกันเพื่อนร่วมทริปว่าเราจะตื่นเช้าตรู่กัน ปรากฏตื่นสายสุด เพื่อนต้องปลุก ตื่นมาด้วยความงัวเงียคว้ากล้องกระโดดจากเตียงมาถ่ายรูปเลย วิวสวยมากจริงๆ วิวจะเริ่มสวยตั้งแต่เกอเอ๋อมู่(Golmud) เป็นต้นมา เป็นลักษณะ ภูเขาสูง มีหิมะอยู่บนยอด รู้สึกเลยว่าธรรมชาตินี้ยิ่งใหญ่จริงๆ ลำธารตื้นๆเป็นน้ำแข็ง มีตัวจามรี แกะ ม้า ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เป็นกลุ่มๆเป็นระยะ พื้นหญ้า แอ่งน้ำเล็กๆเริ่มมีน้ำแข็งจับตัวให้เห็นเป็นพื้นขาวๆ มีกลุ่มหมู่บ้านเป็นระยะๆ หน้าต่างรถไฟเป็นแบบกว้าง เหมาะกับการชมวิว ภูเขาสูงมาก หมู่บ้านเริ่มมีธงสีๆของทิเบตให้เห็น ท้องฟ้าก็เป็นใจ เมฆเป็นกลุ่มๆลอยสวยมาก จากที่เคยบอกว่าโบกี้เรามีทัวร์ญี่ปุ่นมาพักค่อนข้างเยอะ เมื่อไหนผ่านวิวสวย จะได้ยิ่งเสียง สุโก่ยยยยๆๆ ก็จะรีบลุกจากเตียงบ้าง ที่นั่งบ้าง ไปถ่ายรูป ดีจริงๆ แดดแรงมาก แนะนำให้ใส่แว่นกันแดด และทาครีมกันแดดตั้งแต่ในรถ เห็นเมืองลาซาแล้วค่ะ มีชิงช้าสวรรค์ด้วย ถึงลาซาตอน 3 โมงครึ่ง สุขภาพยังแข็งแรงดีกันอยู่ ยังไม่มีอาการ Altitude sickness แต่มีเหนื่อยเล็กน้อยตอนลากกระเป๋า สถานีลาซาใหญ่โต เราพยายามเดินช้าๆเพราะกลัวเหนื่อยตามคำแนะนำในอินเตอร์เนต จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจ Passport และ Tibet permit เค้าจะพาเราไปที่อีกอาคารนึงทางขวามือเพื่อ scan passport หลังจากนั้นเราก็เดินออกมาเพื่อเจอไกด์ของเรา เค้าต้อนรับโดยให้ผ้าพันคอสีขาว(Katak) ตามธรรมเนียมทิเบต รถที่จะพาเราไปเที่ยวตลอดทริปนี้ โรงแรมของเราชื่อ Yak hotel อยู่ค่อนข้างใจกลางเมือง เดินทางสะดวก หากินง่าย ใครจะมาเที่ยวทิเบตแนะนำโรงแรมนี้เลยค่ะ บรรยากาศหน้าโรงแรม Lobby โรงแรมตกแต่งสไตล์ทิเบต ทางเดินไปห้อง สภาพห้องโอเค มาตราฐานทิเบต มี wifi (แต่ใช้ไม่ค่อยได้) พูดถึงเรื่อง wifi ถ้าใครต้องการใช้ google หรือ facebook ให้โหลด app opendoor จะทำหน้าที่เหมือนเป็น web brower สามารถเข้าทั้งสองอันนั้นได้ เรากินข้าวกันที่ร้านใกล้ๆโรงแรม ชื่อร้าน Dunya อันกลางที่คล้ายๆเกี๊ยวซ่าคือ Cheese Momo ค่ะ เป็นแป้งห่อชีส จิ้มน้ำจิ้มที่ใส่เครื่องเทศนิดๆ อร่อยดีค่ะ สามารถเปลี่ยนใส่เป็นใส่ Yak,หมู,ไก่ ได้ตามใจชอบค่ะ แล้วเดินเล่น ไปร้าน Spin cafe มี wifi ให้เล่นฟรี เครื่องดื่มพอใช้ ไปแวะกินร้านเค้กชื่อ Snowland ควรไปหลังสามทุ่ม เพราะเค้าจะลดราคา ซื้อข้างบน จ่ายตังข้างล่าง ป้ายจะเขียนราคาเต็มไว้ ไม่มีป้ายบอกว่าลดราคา เค้าจะลดราคาให้เองตอนจ่ายตัง ไม่ต้องตกใจ เพราะเราตกใจมาแล้ว สภาพลาซากลางคืน คึกคักอยู่นะคะ คืนแรกที่มาถึงลาซา ตามธรรมเนียมห้ามอาบน้ำและสระผม ไกด์เราบอกว่าจะทำให้เป็นหวัดและเพิ่มโอกาสเกิด Altitude sickness แต่....เราทนไม่ไหวจริงๆ เพราะไม่ได้อาบจากบนรถไฟมาสองวันจึงตัดสินใน แหกกฏ แหวกม่านธรรมเนียม อาบน้ำ สระผม ผลปรากฏว่า สดชื่น สบายดี ไร้อาการ Altitude sickness จะขอกล่าวถึง Altitude sickness เล็กน้อย เท่าที่ได้ตามอ่านตามที่ต่างๆ - เกิดจากขึ้นที่สูง ที่มีปริมาณออกซิเจนน้อย - ไม่ขึ้นกับคน พูดง่ายๆว่าแล้วแต่ดวงว่าใครจะเป็น อย่างเรา ผู้หญิง อายุ 30 ปี ไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่ได้ฟิตร่างกายก่อนมา กินแค่ Diamox ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ตั้งแต่อยู่บนรถไฟ ไม่มีอาการเลยตลอดทริป - อาการมีตั้งแต่ปวดหัว ง่วงนอน เดินเซ เบลอ สมองบวม จนถึงตายได้ - ป้องกันคือต้องค่อยๆไต่ระดับความสูง เช่นเรา จากที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา เลยเลือกที่จะนั่งรถไฟเพื่อปรับระดับความสูงไปเรื่อยๆ(แต่บางคนบอกไม่ช่วย เพื่อบนรถไฟก็ปรับปริมาณออกซิเจนให้เราสบายอยู่แล้ว) ไม่ควรขึ้นเกินวันละ 500-1000 เมตร - ทำอะไรช้าๆ แต่เราว่าจะช้าลงอัตโนมัติเพราะปริมาณออกซิเจนน้อยจะเหนื่อยง่ายอยู่แล้ว เช่นเดินขึ้นบันได 2 ชั้นเหนื่อย เป็นต้น - ดื่มน้ำมากๆ งดคาเฟอีน แอลกอฮอล์ - กิน Diamox เราเลือกกินวันละ 2 เม็ด ตามพี่ที่เคยไป มีผลข้างเคียงทำให้มือเท้าชาบ้าง นิดหน่อย - Diamox ห้ามกินในคนที่แพ้ Sulfa - ส่วนยาหงจิ่นเทียน เค้าเชื่อว่าจะช่วยลดโอกาสเกิด Altitude sickness เราไม่ได้กิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น