วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หนีป่า(คอนกรีต) ขึ้นดอยแม่ก๊ะเปียง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

(เดี๋ยวมาต่อนะ) คิดไว้ซักพักแล้วว่าอยากจะไปพักที่ไหนซักที มีวันหยุดยาวพอดี แต่ก็ยังลังเลว่าจะไปไม่ไปดี เสียดายเงินก็ส่วนหนึ่ง แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเลือกที่ไหนดี ว้าวุ่นอยู่ซักพัก ตอนแรกตัดใจแล้ว แต่ในคาบเรียนก็คิดอยู่ในหัวตลอด จนวันนั้นเลิกเรียนมาก็ไปทำงานพิเศษต่อ กลับมาหอก็เกือบหกโมงละ เลย รีบเปิดคอมคลิกๆๆๆจ่ายตัดบัตรเดบิต สรุปก็ได้ตั๋ว หมอชิต-เชียงใหม่มาด้วยความรวดเร็วอย่างงงๆ ไม่ได้ปรึกษาใครตามเคย      กระปงกระเป๋า ที่พงที่พักไม่ได้จัดการซักอย่าง  รีบเร่งสปีดจัดของแต่ไม่ได้ส่องที่พักไว้ ว่าจะไปตายเอาดาบหน้า เออจะตายหรือจะรอดไม่รู้แต่ซื้อตั๋วไว้แล้วก็ต้องลุยละ     แผนการในชีวิตเรานี่ไม่เคยจะแน่นอนเลยเนอะ เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา บางครั้งก็มีการจัดเตรียมไว้อย่างดี แต่บางทีก็ไม่จำเป็นต้องมีแผนอะไรไว้เลย เพราะชีวิตเราบางทีก็อยากจะหลุดจากกรอบที่ใครหรือแม้กระทั่งตัวเองเองวางไว้ ลึกๆในใจทุกคนโหยหาอิสรภาพเสมอ     จากหมอชิตใช้เวลาเดินทาง 9 ชั่วโมงไม่มีจอดพัก ข้าวแจกให้บนรถเลย รสชาติก็โอเคนะ ส่วนที่นั่งนี่รู้สึกไม่ค่อยสบายเลย ที่นั่งก็โยกมาก กระจกสั่นตลอด ห้องน้ำไม่ค่อยสะอาดเลย แต่ก็หลับไปด้วยความเพลีย ตื่นมาอีกทีก็เข้าสู่เชียงใหม่ ขนส่งอาเขตเวลา 6.10     ไอเราก็สะลึมสะลือ มาถึงแล้วหรือวะเนี่ย แล้วจะไปไหนต่อ ไปยังไง  เลยนั่งเสิร์ชอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมอาจารย์โรงเรียนสมัยมัธยมที่ผันตัวมาอยู่บนดอยขายก๋วยเตี๋ยว ที่บ้านแม่ก๊ะเปียง อ.แม่ริม  ทั้งที่ไม่รู้ทางเลยซักนิด แต่ก็จะไป! ก็เลยถามป้าที่คุมรถแดงว่าจะไปแม่ริมนี่ต้องต่อรถอะไรยังไง สรุปว่าต้องนั่งรถแดงไปลงกาดหลวงก่อน 30 บาท แล้วค่อยต่อรถอีกต่อไปแม่ริม          มาถึงกาดหลวงก็ดิ่งไปรถแม่ริม แต่เพื่อความแน่ใจเลยลองถามลุงที่คุมรถ ปรากฏว่าไม่ใช่คันนี้ ต้องคันสีเหลืองที่เขียนว่าสันป่ายาง  เราก็ถามๆเดินๆดูวนไปวนมากว่าจะเจอ ในที่สุดก็เจอรถ แต่รอไปอีกเกือบชั่วโมง เพราะผู้โดยสารน้อยมาก พอได้เวลารถก็ออก จากนั้นก็แวะรับแม่ค้าที่มาซื้อของจากในเมืองไปขาย ทั้งปลา หมู ผัก ของสดต่างๆ เต็มคันรถ ไม่ค่อยมีที่ยืดขามากนัก เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆจากบ้านเรือนที่แน่นหนาก็ค่อยๆเบาบางลง     บรรยากาศเชียงใหม่วันนี้ดูครึ้มๆเหมือนฝนจะตก ตอนแรกก็ว่าจะอยู่ตัวเมืองซักหน่อยนะ แต่ด้วยความเลี่ยนเมือง เลยขอไปพักใจบนดอยซักพักดีกว่า ขอให้กายห่างจากสังคมเมืองซักประเดี๋ยวก็ยังดี อยากให้ทั้งกายและใจได้พักอย่างเต็มที่เพื่อรับศึกหนักกับเมืองกรุงต่อเมื่อกลับไป     เวลาเดินไปอย่างช้าๆ ใจเราที่เคยรีบเร่งจากชั่วโมงเร่งด่วนในเมืองกรุง เริ่มกระวนกระวาย อึดอัด รู้สึกเบื่ออย่างไม่รู้สาเหตุ สมาร์ทโฟนในมือถูกหยิบขึ้นมากดดูฆ่าเวลาถี่ขึ้นเรื่อยๆ พลันในหัวก็ตั้งคำถามกับตัวเองตลอดเวลาเราหลีกหนีทุกสิ่งมาเพื่อทำอะไรกันแน่ อะไรคือสิ่งที่เราต้องการที่สุดในชีวิต อะไรคือเป้าหมายของเรา  แต่ก็ไม่สามารถตอบคำถามอะไรกับตัวเองได้เลยซักนิด     ฝนลงเม็ดมาหนักเรื่อยๆ ถนนที่ขึ้นดอยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เนื่องจากกำลังมีการปรับปรุงถนน รถขึ้นไปสูงเรื่อยๆ มอง ลงมาข้างล่างดูน่าหวาดเสียว เราเหมารถขึ้นมาคนเดียว 300 แน่ะ แพงอยู่นะสำหรับเรา แต่ป้าที่นั่งรถโดยสารมาด้วยกันบอกว่า ปกติเค้าเหมากัน 4-5 ร้อยบาท เราเลยยอมจ่ายก็จ่ายวะ ไม่มีอะไรจะเสียละ จะถอยก็ไม่ได้ ต้องก้าวต่อลูกเดียว สายตาก็คอยกวาดดูว่าจะถึงรึยัง จะเลยรึเปล่า ในที่สุดสายตาก็สะดุดกับป้าย “ก๋วยเตี๋ยวป้าพร โลเน่” ร้านก๋วยเตี๋ยวของอาจารย์สมัยมัธยมเราซักที เวลาก็เกือบสิบโมงแล้ว จบเสียทีการเดินทางที่แสนยาวนาน     เราโผล่หน้าเข้าไปสวัสดีด้วยรอยยิ้มแม้จะเหนื่อยจากการเดินทาง อาจารย์ที่กำลังจัดการกับร้านอยู่ก็ทักทายด้วยรอยยิ้มตอบ หลายปีแล้วสินะที่ไม่ได้เจอ อ.แพร อย่างจริงๆจังๆ  หน้าตา อ.แพสดใสขึ้นมาก แม้จะดูผอมลงมากก็ตาม ระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกันนั้นไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ลดน้อยลงเลย         อ.แพเป็นครูสอนวิชาการงานอาชีพที่นักเรียนทุกคนรัก เนื่องจาก อ.แพทุ่มเทให้กับการเป็นครูมาก และที่นี่ก็สอนไม่เหมือนที่ไหน ยังมีการสอนทำอาหาร ขนม เบเกอรี่ ขนมไทย ฯลฯ สารพัดของกินที่เด็กโรงเรียนประจำอย่างพวกเราชอบมาก รอคอยคาบการงานฯว่าจะได้ทำอะไร จะได้กินอะไร ไม่ค่อยตะกละหรอกนะ เรากินกันได้เกือบทุกอย่าง แม้ไข่ขาวที่เหลือจากการทำทองหยอด เราก็เอามาทอดใส่ซอสกินกัน เหมือนหิวโหยมากจากไหน 55     สอบถามสารทุกข์สุขดิบซักพัก อ.แพรก็เอาโอวัลตินกับอะโวคาโดมาให้กิน อ.บอกว่าอยู่นี่เรากินอะไรแบบง่ายๆ ไม่ปรุงแต่งมาก หยอดน้ำผึ้งนิดนึง หวานมันแบบธรรมชาติ กินเสร็จ อ.แพรก็ให้น้อง “สะดา” พาเราไปยังน้ำตกที่อยู่ข้างล่างเพิงของร้าน  น้องพาเราเดินลงไป พื้นแฉะหน่อยเพราะฝนตก วิวดีมาก อยากนอนแช่น้ำตก ถ้าไม่ติดว่าเป็นแผลที่ขานี่เล่นน้ำไปละ     ดูน้ำตกเสร็จเราก็มาช่วย อ.แพรเสิร์ฟก๋วยเตี๋ยว ก๋วยเตี๋ยว อ.แพร ขายถูกมาก  20-30 บาทเท่านั้นเอง น้ำซุปหอมกลมกล่อมจากสมุนไพรถึง 9 ชนิด เป็นสูตรที่คิดขึ้นเอง นอกจากนี้ยังมีน้ำแข็งใส เฉาก๊วย 5 บาท กล้วยฉาบ กาแฟสดก็มีนะ อ.แพรสามารถทุกอย่าง มือหนึ่งจากประสบการณ์การทำอาหารกว่า 20 ปี เด็ดทุกอย่าง     พอลูกค้าเริ่มซาก็มานั่งคุยกับ อ.แพรต่อ อ.แพรเล่าว่าออกจากการเป็นครูมาซักพักแล้ว เนื่องจากรู้สึกอิ่มตัว เริ่มแรกที่กลับมารู้สึกเหนื่อยมาก เพราะต้องปรับปรุงพื้นที่หลายอย่าง ถมที่ สร้างเพิง เปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เลี้ยงหมู  แต่พออยู่ไปเรื่อยๆ สุขภาพก็ดีขึ้น น้ำหนักคงที่ ผอมลงมากแต่ไม่โทรม นอนหลับเต็มอิ่มทุกวัน พฤติกรรมการใช้ชีวิตเปลี่ยน รอยฝ้าที่เคยเสียเงินรักษาเป็นแสนก็จางลงไปมาก ทั้งที่ไม่ได้ทาสารเคมีหรือไปหาหมอผิวหนังอะไรเลย     ธรรมชาติบำบัดนี่มันมีจริงนะ ที่นี่อากาศดีมาก แทบจะไม่ได้กลิ่นควันรถอะไรเลย มีภูเขาอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าเป็นน้ำตก มีต้นไม้อยู่ล้อม มาอยู่แค่แปปเดียวก็รู้สึกว่าโล่งปอด หายใจคล่องมาก สดชื่นเต็มวัน ไม่ต้องหงุดหงิดกับมลพิษทางอากาศที่ทำลายสุขภาพเรา     ซักพัก อ.แพรก็ยกกะละมังแพสชั่นฟรุ้ตมาให้ หวานมาก ไม่ต้องเติมอะไรเลย กินเปล่าๆเพลินมาก พลางจิบไวน์ลิ้นจี่ที่ อ.แพรหมักเองไปด้วย หวานเย็นชื่นใจมาก แม้จะเวลาบ่ายสามบ่ายสี่แต่อากาศก็ยังเย็นสบายอยู่ เรานั่งกินไปคุยกันไปเรื่อยๆ     ชีวิตที่นี่ผ่านไปอย่างช้าๆ จะเรียกว่าเป็น Slow life ก็ได้ ทุกวินาทีหมุนไปอย่างช้าๆอย่างมีคุณค่า เรา รู้สึกได้ว่าทุกวินาทีที่ใช้ไปนั้นเรารู้ตัวอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับเมืองกรุงที่เผลอแปปเดียวเงยหน้าขึ้นมาก็เที่ยงคืนแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ทันทำอะไรเลย อ.จา สามี อ.แพร บอกว่ามาอยู่ที่นี่สี่ทุ่มก็นอนแล้ว ตีสี่ก็ตื่นมาเลี้ยงหมู แต่ไม่รู้สึกล้าเลย เพราะค่ำคืนที่แสนสงบ อากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้นอนหลับเต็มอิ่มในทุกๆคืน     เราไม่ได้บอกว่าเทคโนโลยีต่างๆมันไม่ดี แต่เราว่ามันต้องควบคู่กันไปมากกว่า ในชนบทอาจไม่ต้องการความเจริญที่เข้ามารุกล้ำธรรมชาติที่โอบอุ้ม รักษาและเป็นแหล่งชีวิตของพวกเขา แต่พวกเขาต้องการเทคโนโลยี ทั้งการแพทย์ สาธารนูปโภคต่างๆที่ทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น และไม่จำเป็นว่าความเจริญนั้นจะต้องไม่มีธรรมชาติ เราควรทำให้มันสมดุล ธรรมชาติเกิดมาพร้อมๆกับมนุษย์ เราอยู่กับธรรมชาติมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ แล้วทำไมวันนี้ เราถึงเห็นคุณค่าของธรรมชาติลดลง ทำลายและใช้อย่างไม่เห็นคุณค่า  ความเห็นแก่ตัว ความโลภต่างๆเข้ามาครอบงำความเป็นมนุษย์ของเราไปแล้วหรือ? แก้ไขข้อความเมื่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น