วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

484 KMS TO HOME : กรุงเทพฯ - ขอนแก่น ในวันที่ผมเรียนจบและผมปั่นจักรยานกลับบ้าน

สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิป เราได้อ่านบันทึกระหว่างการเดินทางกลับบ้านด้วยจักรยานจากบล็อคของน้องชายเราเอง เส้นเดิมๆจากรุงเทพถึงขอนแก่น 400กว่ากิโลเมตรที่เรานั่งรถทัวร์ 6 ชั่วโมงกลับบ้านเสมอๆ  ในเส้นทางเดียวกันนี้ วันหนึ่งน้องชายเราเลือกที่จะกลับบ้านด้วยวิธีการที่ต่างออกไป ก็แค่รีวิวการขี่จักรยานทางไกล กรุงเทพ-ขอนแก่น ไม่เห็นจะน่าสนใจใช่ไหม? อย่าเพิ่งรีบตัดสินกัน นี่ไม่ใช่กระทู้รีวิว ไม่ได้มีรูปสวยๆ ไม่มีจะมาบอกว่าใช้งบไปประหยัดแค่ไหนเท่าไหร่ แต่เราอยากแบ่งปันเรื่องราวของสิ่งต่างๆ ผู้คน และสิ่งที่เขาได้พบระหว่างทางกลับบ้าน รวมถึงสิ่งที่เขาได้ค้นพบในตัวของเขาเอง
ขอให้สนุกกับการเดินทาง ยิ้ม


484 KMS TO HOME : CHAPTER 0 : จักรยานที่หายไป…

“เรามักจะไม่เห็นคุณค่าของบางสิ่งจนกว่าเราจะสูญเสียมันไป”  เรื่องราวระหว่างผมกับจักรยานคงเป็นเช่นเดียวกับประโยคนี้
แรกเริ่มเดิมทีผมไม่ได้ปวรณาตนเป็นนักปั่นหรือคนรักจักรยานเหมือนที่หลายๆคนและผมเป็นอยู่ตอนนี้ ผมใช้จักรยานในฐานะยานพาหนะในการเดินทางในชีวิตประจำวันโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันนัก ผมเริ่มปั่นจักรยานไปไหนมาไหนในเมืองขอนแก่นตั้งแต่อายุ 13 ปี เช่น

ปั่นไปเล่นบ้านเพื่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์

ปั่นไปดูหนังกับเพื่อนผู้หญิงที่แอบชอบ

คุณยายใช้ไปซื้อกับข้าวที่ตลาด

ปั่นไปซ้อมดนตรี

ปั่นไปโรงเรียน

ปั่นไปจีบแฟนคนแรกในสมัยเรียนมหาลัย

หรือบางครั้งก็ออกปั่นไปตามถนนในเมืองเพียงเพื่อความสนุก….

             มันอาจจะฟังดูเวอร์นะ กลับกลายเป็นว่าจักรยานเป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของผมมาโดยตลอด…นั่นคือสิ่งที่ผมได้ตระหนักเมื่อผมได้สูญเสียมันไป คืนวันที่ 30 ธันวาคม 2013 ผมได้ทำจักรยานคันที่ผมปั่นมันตลอด 9ปีหายไปเพราะความสะเพร่า ผมจอดจักรยานไว้โดยไม่ได้ล็อคกุญแจ (ความสะเพร่าของผม : ไม่เคยล็อคจักรยาน และมันไม่เคยหาย)ที่หน้าสถานบันเทิงแห่งนึงในตัวเมืองขอนแก่นเพื่อที่จะเข้าไปหาเพื่อนข้างในนั้น 1 ชม. พอผมออกมาจึงได้พบว่าจักรยานของผมไม่อยู่แล้ว คงมีใครสักคนปั่นมันไป เหตุการณ์ในวันนั้นตามหลอกหลอนผมมานับแต่นั้น ไม่ใช่เพราะว่ามูลค่าของมันหรืออะไรทำนองนั้น แต่มันทำให้ผมให้รู้ว่าผมรักมันแค่ไหน จักรยานคันนี้เปรียบเสมือนแคปซูลการเวลาที่บรรจุความทรงจำตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น จนถึงช่วงท้ายๆของชีวิตมหาลัย ผมปั่นมันผ่านช่วงวัยเหล่านั้น 9ปีที่เราได้อยู่ด้วยกัน มันพาผมออกไปผจญภัยในแทบทุกซอกทุกมุมของเมืองขอนแก่น พาผมผ่านเรื่องแย่ๆในชีวิตวัยรุ่น ทุกครั้งที่ผมรู้สึกแย่ ผมจะปั่นมันออกจากบ้านพร้อมกับฟังเพลงผ่านไอพอดไปตามถนนในยามค่ำคืนซึ่งทำให้ผมกลับมารู้สึกสดชื่นอีกครั้ง มันทำให้ผมไม่ไปเรียนสายและไม่ต้องเสียเงินจ่ายค่ารถโดยสารที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และพาผมไปตามฝันด้วยการปั่นมันไปเล่นดนตรี เราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะเหลือเกินตลอด 9ปีมานี้

             การหายไปของจักรยานคันนั้นได้กลายมาเป็นบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตของผม ผมพยายามตามหามันอยู่พักนึงแต่ก็ไม่พบร่องรอย มันคงจากไปไกลหรือโดนขายไปที่ไหนสักแห่งแล้ว ผมทำใจและเก็บเงินเพื่อซื้อจักรยานคันใหม่ นอกจากจะเป็นบทเรียน เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ความฝันครั้งใหม่ก่อตัวขึ้น ด้วยความที่จักรยานคันเก่าของผมเป็นตัวแทนของความทรงจำมากมายเกินกว่าที่จะถูกแทนที่ด้วยจักรยานคันไหนได้ ดังนั้น ถ้าหากจะหาจักรยานคันใหม่มาเป็นเพื่อนคู่ใจ เราก็ต้องเริ่มการผจญภัยครั้งใหม่ไปกับมันสิ ด้วยความที่ตนเองเป็นคนชอบเดินทาง จึงได้เริ่มวางแผนจากผจญภัยครั้งใหม่ด้วยจักรยาน เส้นทาง กรุงเทพ – ขอนแก่น ที่ผมนั่งรถทัวร์ไปกลับบ้านตลอด 4 ปี ทีผ่านมา เพื่อไม่ให้ที่บ้านรู้ผมจึงแอบซื้อจักรยานใหม่และเก็บไว้ที่หอของแฟนที่กรุงเทพ และค่อยๆแบ่งเงินเดือนที่พ่อแม่ให้เก็บเงินซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็นในการเดินทางทีละชิ้น จนต้นเดือนกรกฎา หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและได้สิ่งของที่ต้องกการครบแล้ว

พร้อมที่จะออกเดินทางแล้ว…

  อะไรก็เกิดขึ้นได้ในการเดินทางไกล แน่นอน มันอาจจะดูไร้เหตุผลและอาจจะมีอันตรายรอเราอยู่ข้างหน้าแต่ชีวิตมันคืออะไรกันล่ะ? ถ้าชีวิตโดยเนื้อแท้เป็นเพียงแค่การเกิดมา หาเลี้ยงชีพ สืบเผ่าพันธุ์และตาย มันคงไม่น่าอภิรมย์ที่จะกระยิ้มกระสนให้มีชีวิตอยู่ต่อนัก สำหรับผมความฝันมันทำให้ชีวิตเรามีความหมายและการได้ทำตามหัวใจคือสิ่งที่ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่มันคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ยิ้ม

แก้ไขข้อความเมื่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น