วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เริ่มต้นนั่งรถไฟครั้งแรกเป็นเวลา 14 ชั่วโมง

เห็นเขาไปเที่ยวนู้น นี่ นั่น แล้วก็เกิดอาการอยากบอกเล่าประสบการณ์บ้าง เลยขอใช้พื้นที่ดีดีตรงนี้บอกเล่ากันนะ กระทู้แรกไปเลย ยิ้ม หากใช้ภาษาวิบัติก็ขออภัยด้วยนะ มันมือจริงๆ **กระทู้นี้ไม่ได้เน้นแนะนำรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวแต่อย่างไร เป็นอารมณ์บ่นให้ฟังเฉยๆ เหตุเกิดจากวันนั้นรู้สึกจะนั่งเล่นฮอนอยู่แล้วก็เฟลที่แพ้ 5 ตาติด เวลาก็ประมาณ 05.30 น. ประกอบกับช่วงนั่นเป็นช่วงหยุดเรียน เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ช่วงที่เกิดความวุ่นวายปิดกรุงเทพอะไรซักอย่าง นั่นแหละ เลยแบบว่า เห้ยยยยย... กำ ไปไหนดี วันนี้ไม่ใช่วันของเรา เลย google แบบเบาๆ " ไปเที่ยวไหนดี '' แล้วก็ลองเติมพวก ไปวันเดียว ประหยัด บลาๆ จนได้การเดินทางที่อยากลองดูครั้งนึงคือ การนั่งรถไฟ สถานที่ที่เราจะไปนั่นคือ กาญจนบุรี ไอ้เราก็เอ๊ะ... ใช้ที่มันมีคนตายเยอะๆ ไหม ปะ ๆ ลองดูละกัน(พูดกับตัวเอง) ตอนแรกก็ชวนเพื่อนไปคนนึง แต่อารมณ์กะทันหันไป เลยตัดสินใจไปคนเดียวแบบรีบมาก จึง google หาว่ารถไฟรอบกี่โมงบ้าง ปรากฎว่ามีรอบเช้า 07.50 น. โอเคใกล้ถึงเวลาพอดี ไม่ฟังใครทั้งนั่น พอดีอยู่แถวเจริญกรุง เลยรีบวิ่งขึ้นรถเมล์สาย 75 ไปสถานีรถไฟหัวลำโพง ขออนุญาตใช้ภาพสีขาวดำนะ ด้วยความชอบส่วนตัวกับตาบอดสีแบบเบาๆ ร้องไห้ หัวลำโพงไม่ไกลมากนัก พอไปถึงก็รีบวิ่งเบาๆ ไปยังข้างในสถานี และก็รีบเข้าไปถามพนักงานขายตั๋วอย่างเอ๋อ ''พี่ครับ จะไปกาญจนบบุรีนิต้องไปยังไงอะครับ'' พนักงานสาวคนนี้น่ารักยิ้มให้และกล่าวว่า ''อ่อ ต้องไปสถานีบางกอกน้อยค่ะน้อง '' เย้ เย้ เย้... สุดยอดความหน้าแตกยับ บอกลาก่อนพี่เขาอย่างไว เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ควรศึกษาเส้นทางก่อนเดินทาง ร้องไห้ สมาทโฟนก็ไม่มี ไม่รอช้า รีบวิ่งไปหาพี่แท็กซี่สุดเท่ห์ให้พาแว๊นไปสถานีบางกอกน้อยอย่างเร็วไว โชคดีที่วันนี้เป็นวันอากาศสดใส ไร้การรถติดใดๆ จึงมาถึงสถานีบางกอกน้อยในเวลา 07.30 น. นี้หรือสถานีรถไฟ มองใกล้ๆ นึกว่าศาลาพักใจ แต่มองๆ ดูไปรอบๆ ก็เป็นสไตล์น่ารักมุ้งมิ้ง มินิมอลสุดๆ แสงแดดยามเช้าเริ่มสาดส่องมาบนผิวโลก ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหล่มาจากไหนไม่รู้ เป็นช่วงปิดกรุงเทพด้วยไง มัวแต่ซึมซับบรรยากาศลืมซื้อตั๋ว ไม่รอช้ารีบวิ่งไปซื้อตัว กลัวไม่ได้ขึ้น เสียใจไม่ได้ถ่ายเก็บไว้ ตั๋วรถไฟใบแรกในชีวิต ตอนนี้ไม่รู้สลายไปไหนแล้ว เอ... นี้เวลาก็ล่วงเลยมา 08.00 น. รถไฟยังไร้วี่แววใดๆ พอดีมีตลาดสดอยู่ข้างเลยกะจะไปหาอะไรกินซักหน่อย รถไฟก็ยังไม่มา เริ่มหิวเบาๆแล้ว มัวแต่ดูผัก ปลาไปเรื่อย ไม่รู้จะกินอะไรเลย มัวแต่ตื่นเต้นนานๆ ได้เดินตลาดสดยามเช้า สรุปไม่ได้อะไรซักอย่างนอกจากน้ำเปล่า 1 ขวด ไว้ดับกระหาย ตอนนี้อากาศเริ่มร้อนละ กลับมาหาที่นั่งพักที่ชานชาลา ก็เจอกลับคุณลุงหนุ่มยุโรปที่กำลังตามหารักแท้ ไม่ก็ลูกสาวที่ผลัดหลงในตลาดก็เป็นได้ นั่งไปนั่งมา ก็นึกขึ้นได้ว่า เห้ย... ทำไมเขาโหน หรือยืนกันละรถไฟขบวณนั้น ไม่... เราจะต้องเป็นผู้อยู่รอด ไม่รอช้ารีบวิ่งแบบช้าๆ ขึ้นรถไฟหาที่นั่ง เดินหาตามโบกี้อยู่สักพัก ก็เจอกับคุณลุงหน้าตาหน้าเป็นมิตร แกกำลังใส่หูฟังสุดคูลอยู่ เลยเข้าไปนั่งตรงข้ามกับแก ด้วยความที่เป็นเด็กน่ารัก เลยทักและยิ้มให้คุณลุงแบบเบาๆ ความหน้าแตกมาเยือนอีกครั้ง คุณลุงไร้ปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเราเลย หรือเขาฟังเพลงอยู่นะ แต่ก็ยังงงว่านั่นเครื่องช่วยฟัง หรือ เครื่องเล่นเพลง ร้องไห้ ผู้คนเริ่มทยอยขึ้นมาจับจองที่นั่งกันใหญ่ ทำให้บรรยายเริ่มครึกครื้นขึ้นมาอีกระดับ เวลาก็ล่วงเลยมาถึง 8.30 น. แล้ว ไม่นานนัก รถไฟก็เตรียมออกจากสถานีแล้ว เสียงแตรดังขึ้นอย่างดัง สุดยอดรถไฟเคลื่อนได้แล้วด้วยความเร็ว 10km ต่อชั่วโมง บวกกับเสียงล้อที่กระทบกับราง ทำให้เครื่องจักรชนิดนี้ รุนแรง ดุดัน สุดยอดเท่ห์สุดๆ ช่วงแรกข้างทางก็จะเต็มไปด้วยบ้านคนมากมายยังไม่กล้าจะยื่นหัวไปมองเท่าไหร่ ก็กลัวสังกะสีจะปาดหัวเอา พอหลุดจากช่วงหมู่บ้านเสร็จ ก็ต้องเจอกับข้างทางที่เต็มไปด้วย ต้นไม้ ใบหญ้า สุดยอดธรรมชาติที่รังสรรค์มา ปลายใบไม้ที่กระทบกับตัวรถไฟ ทำให้เศษซากธรรมชาติได้ปลิวกระจาย กระทบกับใบหน้าของเรา ยามใดที่อ้าปาก ลืมตา ก็จะโดนเศษซากธรรมชาติทำร้ายเอา โมเมนต์นั้นไม่มีการถ่ายรูปใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยการที่ยังไม่ได้หลับเลยซักนิดเลยเพลียๆ บวกกับการทำร้ายจากธรรมาชาติ ทำให้หลับไปได้ไงไม่รู้ หลังจากหลับไปไม่รู้ตอนไหน ตื่นขึ้นมาก็พบกับเศษซากธรรมชาติอยู่รอบตัว อนึ่งจะเป็นสิ่งเดียวกัน (เว้อไป) แต่ไม่เป็นไร มันหลุดพ้นแล้ว หลุดพ้นจากธรรมชาติเหล่านั้น ตอนนี้สองข้างทางเปิดโล่งแล้ว ทำให้เห็นทิวทัศน์ทุ่งนาเบาๆ เห้อ... ลมเย็นดีจังว่าแล้วก็โผล่หัวไปดูซะหน่อย ภาพตัดมาหัวแบะ หัวเราะ ในระหว่างทางก็จะมีการจอดในแต่ละสถานีต่างๆ ตอนนี้ไม่รู้ถึงไหนแล้วเหมือนกัน และคุณลุงคนนั่นก็ลงที่สถานีนครปฐม สุดแสนจะเศร้า นั่งมาด้วยกัน แต่ไร้บทสนทนาใดๆ ร้องไห้ ไม่เป็นไร มีพบก็ต้องมีจาก ดูอย่างคุณป้าคนนี้ สุดยอดนักช้อปปิ้ง แกคงไปซื้อผักมาจัดงานเลี้ยงที่บ้านก็เป็นแน่ มีคนลงก็มีคนขึ้น หลังๆ นี่แอบมีขึ้นเยอะกว่าลง เวลาเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เริ่มสายๆ แล้ว แสงแดดเริ่มสาดความร้อนเข้ามาในรถไฟ แต่ไม่เป็นไร เรายังมีลมเย็นๆ อยู่เสมอ ตอนนี้ยังชิวอยู่ ช่องที่เรานั่งมีแค่ผู้ชายวันกลางคนมานั่งตรงข้ามแค่คนเดียว ไม่กล้าทักเท่าไหร่ สองสาวที่พึ่งขึ้นมาใหม่ ก็นั่งช่องข้างๆ บรรยายตรงนั่นไม่รู้เป็นยังไงกัน สงสัยปวดท้องแน่ๆ เออเว้ย... เริ่มหิว จำไม่ได้แล้วว่าเขาจะขึ้นช่วงสถานีไหน แต่จะมีคนมาขายของกินเรื่อยๆ มีทั้งข้าวเหนียว หมูหวาน ข้าวราดแกง ข้าวกล่องโฟม น้ำเนิ่ม สารพัด ราคาย่อมเยา 10 20 แต่ซื้อกินไม่กี่อย่างก็อิ่มแล้ว กินลมกับใบไม้มาเยอะช่วงแรก พอกันกับการกิน เดี๋ยวจะบ่นเป็นสาวๆ ไม่กินแล้วแกอ้วน เห็นก็ยังกินกันมุบมับ ระหว่างทางก็มีคนขึ้นมาจากไหนไม่รู้ แบบทัวร์คณะไรซักอย่าง จากนั่งกินลมชิวๆ ก็นั่งเกร็งแน่นๆ และแล้วก็มาถึงสะพานข้ามแม่น้ำแคว ความเฟลอยู่ที่คนเยอะมากมาย หามุมถ่ายรูปไม่ได้ นี้คือผลงานความพยายามสุดๆ ร้องไห้ ยัง ยัง เรายังไม่ถึงสถานนีสุดท้ายคือสถานีน้ำตก ไกลเหลือเกิน เริ่มเมื่อยแล้ว บ่นๆ เมื่อยไม่นานก็ไม่ถึงจุดที่ว่าจะถ่ายรูปได้สวยอีกจุดนึง คือจะเป็นช่วงรถไฟโค้งเยอะหน่อย ทำให้เห็นตัวรถไฟ perspective แบบสวยๆ ความเฟลอยู่ที่นั่งอยู่ด้านที่ไม่ใช่วิวสวยงาม ไม่เป็นไรนะตัวเรา ถ่ายข้างนี้ก็ได้ ข้างนี้คงเหงาแย่ ไม่เป็นไรไม่ง้อ ขากลับค่อยถ่ายอีกรอบก็ได้ รถไฟมันก็ไปของมันไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปเฟลอีกรอบ อยู่ดีดีเสียงเครื่องยนต์ก็ดัง แล้วรถไฟแกก็ดับไปเฉยๆ เห็นใจมันอยู่ เสียงพี่แกไม่ค่อยจะดีตั้งแต่มาละ เป็นกำลังใจให้นะรถไฟ ไม่นานเกินรอ 30 นาที รถไฟก็แล่นได้อีกครั้งจนถึงสถานีสุดท้าย สถานนีน้ำตก เวลาประมาณ 14.00 น. ให้เขาลงกันหมดก่อน เราไม่รีบ เรามาแล้วเราก็จะไป แล้วทำยังไง ถามพี่แถวนั่นก็บอกให้ไปซื้อตั๋วเดี๋ยวรถไฟก็จะออกแล้ว อืมม... รีบไปรีบมาจริงๆ ไม่รอช้ารีบวิ่งแบบสไลด์ไปซื้อตั๋ว ซื้อทำไมมันฟรี ไม่เอาไม่พูด ก่อนจากลาพื้นดินที่แสนนุ่ม ก็ไปโดนไอติมตู้ตรงนั่น สุดยอดความเย็นที่ได้รับ เย้ ขากลับดีมาก ชิวมาก คนน้อยมากๆ วิ่งเล่นไล่จับกันได้เลย วิ่งเร็ววิ่ง แต่มีคนนึงไม่วิ่งกับเขาแน่ๆ คือคุณป้าคนนี้ แกชิวมาก อยากจะสนทนาด้วย แต่แกคงฝันดีอยู่ กำลังนั่งกินลมชมวิวอยู่ดีดี ก็เห็นพนักงานตรวจตั๋วกำลังเดินตรวจเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก็มีเรื่องทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง ความเฟลกับมาเยือนตั๋วรถไฟที่ได้ฟรีมานั่นอยู่ไหน อยู่ไหน อยู่ไหน ไปกับสายลม หรือถุงห่อหุ้มไอศครีม เฟล เฟล ดิ้นรน พยายาม กำ พี่เค้าเข้ามา เรายิ้มให้อย่างสุดเหลือล้นแหละสารบาป ร้องไห้ คนไทยใจดีเหมือนเดิม แต่ก็ควรเป็นอย่างนั่นแหละ คงไล่เราลงรถไฟหลอกใช่ไหม ขากลับกะแก้ตัวถ่ายภาพมุมที่ เขาถ่ายกันสวยๆ กัน ความเฟลเกิดขึ้นเนื่องจากคิดไม่ได้ว่า ต้องไปถ่ายแถวหัวขบวณ คงจะได้ภาพสวย คิดได้เมื่อตอนมันสายไปเสียแล้ว ได้ภาพเก้ๆกังๆ ขากลับไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรมากมายเลย เหนื่อยเพลียนั่งมาทั้งวัน ขนาดนั่งเฉยๆ นะ เย็นๆ แล้วอากาศเย็นลง คนก็ขึ้นรถไฟกลับกันเรื่อยๆ เหมือนรถไฟรอบนี้ต้องกลับไปรับคนที่สถานีบางกอกน้อยด้วยมั่ง ระหว่างทางก็ซื้อของกิน ที่ซื้อขึ้นมาขายอยู่เรื่อยๆ แสงอาทิตย์เริ่มจากหายไป ความมืดเริ่มเข้ามาแทน และแล้วรถไฟก็มาถึง สถานีบางกอกน้อยเวลาประมาณ 20.00 น. เห้อ... ทั้งสุดเหนื่อย ทั้งสุดชิว ทั้ง ทั้ง หลายทั้ง ขอไม่คิดเรื่องค่าใช้จ่ายเลยละกัน เหมือนไม่ค่อยได้เสียอะไรเลยนอกจากแท็กซี่ขามาแล้วก็ขากลับ เรื่องกินก็ราคาไม่ได้แพงอะไรเลย กินลมกับใบไม้แทนไปนั่น ยังไงถ้าเราไปไหนต่อจะมาบอกเล่าประสบการณ์อีกนะ ชอบเที่ยวแบบวันเดียวนิแหละ ประเด็นคือไม่มีเงินหนะ ใครมีที่ไหนน่าไปอยากไปให้ก็แนะนำกันมาบ้างนะ เราไม่ได้เป็นแบบพวกมีข้อมูลท่องเที่ยวหรือศึกษาอะไรขนาดนั่น อยู่ๆ ก็ไปเลย ไม่มีข้อมูลมากมาย ไปหลอนๆ กันแถวนั่น ไม่รู้เป็นแบบนี้เพื่ออะไร ไม่เอาไม่พูด ภาพโดย Ipod5 + vsco ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีอย่าง - ragnarok เถื่อน ที่ทำให้เรามีเงินไปใช้ชีวิต - พ่อแม่ที่นั่งหน้ามืดอยู่บ้าน ขอบคุณทุกคนที่นั่งฟังเราบ่นมาเรื่อยๆ นะ ถึงจะเป็นสถานที่ซ้ำๆ เดิมๆ แต่ก็อยากให้ไปกันนะ เพราะต่างคนก็ต่างมีเรื่องราวต่างกันแน่นอน แก้ไขข้อความเมื่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น