วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 1

[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 2 Around Sapa  http://pantip.com/topic/32689912 ______________________________________________ ถ้าจำไม่ผิดเมื่อสัก 4 เดือนก่อนขณะที่ผมกำลังนั่งเล่นคอมอยู่ในห้องตอนกลางคืน จู่ๆ เพื่อนตัวแสบของผมคนนึงมันก็โพสต์ในเฟสบุ๊คถึงการชวนไปเที่ยวแบบแบคแพคที่เมืองซาปา ประเทศเวียดนาม ผมไม่รีรอที่จะพิมพ์ไปว่า "อยากไป" นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ที่เราพยายามหาข้อมูลกันอย่างแข็งขันและวาดฝันไว้ว่าจะมาล่านาขั้นบันไดสีทองแห่งเมืองซาปา ซึ่งต้องบอกเลยว่าโคตรมันทั้งการเดินทางไปจนถึงการถ่ายภาพ ทุกรสชาติรวมไว้ในการเดินทางครั้งนี้แล้วครับ ข้อมูลอาจจะไม่ละเอียดมากเพราะมัวแต่ถ่ายภาพซะจนไม่ได้สนใจอะไรสักอย่าง แต่เชื่อว่าถ้าดูด้วยภาพแล้วทำให้ใครต่อใครเกิดความอยากไปก็ถือว่าโอเคแล้วเนอะ ปล.ทริปนี้ผมเดินทางช่วงกลางเดือนกันยายน 2557 นะครับ เริ่มต้นกันที่สนามบินดอนเมืองครับ ใช้บริการเจ้าเดิมกับสายการบินแอร์เอเซีย ครั้งนี้ได้โปรตั๋วถูกราคาสบายกระเป๋า ก่อนที่จะมาทริปนี้เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องเจอฝน โธ่ ไม่น่าดูพยากรณ์มาเลย แม่นอย่างกับจับวาง เมื่อเครื่องใกล้ถึงสนามบินก็เริ่มเห็นฟ้าเน่าๆ เบื้องหน้าแล้ว เรามาลงกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (Nội Bài) สนามบินที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามตอนเหนือ พอลงเครื่องมายังไม่ได้ชมความยิ่งใหญ่ของสนามบินเลย ฝนก็ตกแรงซะจนเราไปไหนไม่ได้ซะแล้ว ระหว่างที่รอฝนหยุดนั้นทางสนามบินมีส่วนของ Information ซึ่งผมก็ไปขอข้อมูลต่างๆ เช่น การเดินทางไปซาปา ซิมโทรศัพท์ หรือแม้แต่อาหารท้องถิ่นแนะนำระดับ Incredible Food ดูเอาเองนะครับว่ามีอะไรบ้าง บริเวณ Information เราสามารถให้พนักงานติดต่อเรื่องการเดินทางไปยังซาปาได้จากที่นี่เลย ราคาตั๋วรถไฟไปกลับฮานอย – ลาวไก อยู่ที่ 90 USD ครับ เมื่อเราจ่ายเงินเสร็จเขาจะออกใบให้เรา ใบนี้ไม่ใช่ตั๋วรถไฟนะครับ แต่เราต้องเอาใบนี้ไปแลกเป็นตั๋วอีกทีที่สถานีรถไฟ ซึ่งผมเลือกช่วงเวลารถไฟออกที่ 2 ทุ่ม หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วฝนก็หยุดพอดี ดังนั้นวันนี้ผมจะมีเวลาอยู่ในฮานอยประมาณครึ่งวัน พอมาถึงตรงนี้แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนต่อดี รีวิวที่อ่านมาพอมาเจอเข้าจริงทำไมสถานที่มันไม่เหมือนกันเลย 555 เอาเป็นว่าเข้าเมืองก่อนก็แล้วกัน การเดินทางจากสนามบินโหน่ยบ่ายเข้าไปยังตัวเมืองฮานอยค่อนข้างไกลเลย (45 กิโลเมตร) การเดินทางหลักๆ มีอยู่ 2 วิธีคือ 1 นั่งรถแท็กซี่ และ 2 นั่งรถบัสครับ มาแบบถูกๆ ก็ต้องเดินมากถูกๆ เราเลือกรสบัสแบบไม่ต้องรีรอ ตอนที่ขึ้นมาบนรถบัสผมเป็นกลุ่มแรกที่วางกระเป๋าจองที่นั่ง คิดว่ารถจะโล่งๆ ไม่ค่อยมีคน แต่ที่ไหนได้ นั่งกันอย่างแน่นแถมมีเบาะเสริมอีกเต็มไปหมด ใครเอากระเป๋าล้อลากมาหลายๆ ใบสงสัยจะโดนคนข้างๆ ด่าในใจไปหลายดอก รถบัสออกจากสนามบินมาได้ประมาณชั่วโมง อาการระดับซิกเนเจอร์ของผมก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ผมหลับไปแบบไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็อยู่ในเมืองฮานอยแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเห็นมอเตอร์ไซต์วิ่งเต็มถนนไปหมด ระหว่างที่กำลังงง ไม่รู้ว่าจะลงตรงจุดไหนดี จู่ๆ ก็มีเซลล์ของโฮสเทลแห่งหนึ่งขึ้นมาบนรถบัส พร้อมกับถามคนบนรถว่ายูจะไปที่ไหน มีที่พักรึยัง เราก็ตอบเขาไปว่าเราจะไปซาปาวันนี้ และอีก 3 วันจะกลับมานอนฮานอย เขาก็เลยบอกว่าให้มาแวะที่พักเขาก่อน เดี๋ยวเขาแพลนสถานที่ให้ฟรี โอ้ว อะไรจะใจดีขนาดนี้ ต้องมีอะไรน่าสงสัยแน่ๆ เลย แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็มืดแปดด้าน ท้ายสุดก็ตามน้ำกันไป และสถานที่ที่เขาให้เราลงคือถนนที่ชื่อว่า (Lý Quốc Sư) ส่วนที่พักของเขาชื่อว่า The Sinh Cafe Travel ข้างๆ ร้าน Joma Bakery Cafe  ที่นี่เราเจอคนดูแลที่พักซึ่งรัวภาษาอังกฤษอย่างคล่อง เขาก็เสนอตัวเลือกต่างๆ นานาให้เราด้วยการแพลนสถานที่พร้อมกับคิดเงินชาร์ตสไตล์พ่อค้าแบบเนียนๆ ซึ่งเมื่อสรุปกันแล้วเราก็รับราคาได้เพราะลองคำนวณกันเองว่าถ้าเราติดต่อทุกอย่างเองเผลอๆ จะเสียแพงกว่าที่คนดูแลเขาเสนอให้ซะอีก สรุปว่าการเสนอของคนดูแลเป็นประโยชน์กับเรามากเพราะเขาติดต่อที่พัก ค่าแท็กซี่ ค่านู่นนี่นั่นให้หมดเลย เรียกได้ว่าการเดินทางต่อจากนี้ของเราก็ง่ายมากขึ้นเพราะจ่ายเงินอะไรไปหมดแล้ว เวลาตอนนี้ก็บ่ายกว่าๆ ยังเหลืออีก 5 ชั่วโมงให้เราได้สำรวจเมืองเล่น จะว่าไปแล้วตั้งแต่เช้าก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แบบนี้ต้องหาอะไรทานกันหน่อย เดินไปซอยข้างๆ เจอร้านขายขนมปังฝรั่งเศส ได้กลิ่นไข่เจียวหอมตั้งแต่หน้าปากซอย แบบนี้ต้องจัดสักชิ้น พอเราสั่งไปเขาก็ทอดไข่เจียวกันสดๆ พร้อมกับเอาขนมปังไปอบ ใส่หมูสับ ผักอะไรไม่รู้เต็มไปหมด ออกมาเป็นหน้าตาแบบนี้ครับ สนนราคาอยู่ที่ 30,000 ดอง ถือว่าไม่แพงเลยสำหรับมื้อแรกในเวียดนาม ที่สำคัญรสชาติก็ไม่ง่อย อร่อยเลยล่ะ เดินมาเรื่อยๆ จะเจอกับโบสถ์เซนต์โจเซฟ โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองฮานอย นอกจากจะเป็นสถานที่ประกอบศาสนาของคนละแวกนี้แล้วยังเป็นจุดนัดพบของวัยรุ่น เดินไปอีกเห็นฝรั่งแนวแบคแพคเกอร์เหมือนกันกำลังถามทางจากคนเวียดนามอยู่ ในใจผมก็คิดว่า เออกูเองก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันนี่หว่า ไปทางไหนไม่รู้เรื่องเลย แต่การเดินหลงมันเรื่องปกติอยู่แล้ว วันนี้ก็ถือว่ามาเดินเที่ยวไปก่อน ระหว่างทางสังเกตว่าแถวนี้มีพวกของที่ระลึกขายเยอะดีครับ อันนี้เป็นเหมือนโปสการ์ดป๊อบอัพสไตล์เวียดนาม ตัวงานประณีตมาก ราคาก็ ++ มาก กระด้งวาดเป็นลายหน้าคน อีกหนึ่งของฝากยอดนิยมที่เราเห็นได้ในเมืองฮานอย ดูๆ แล้วแอบน่ากลัวมากกว่าน่ารักนะผมว่า ถ้าซื้อกลับไปให้คนที่ไทยเขาจะมาว่ามันสวยป่าวหนอ ตุ๊กตาไม้กับการแต่งตัวอันเป็นเอกลักษณ์ สภาพถนนครับ รถมอเตอร์ไซต์เยอะจริงๆ แถมยังขี่เร็ว ไม่ค่อยยอมกัน จะน่าสงสารก็อยู่ตรงที่คนปั่นจักรยานนี่แหละ ต้องบู๊กับทั้งความแรงของเครื่องยนตร์และควันรถมหาศาล อันนี้เหมือนสำนักงานอะไรไม่รู้ เห็นคนเดินเข้าออกเยอะจริงๆ อาคารที่ดูภายนอกเหมือนศาลเจ้า ตอนแรกไม่กล้าเข้า แต่พอเห็นหลวงจีนเดินออกมาเลยขอเข้าไป ด้านในมีองค์พระให้สักการะ ผมก็ถ่ายๆ ภาพมาโดยไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เดินออกมาถ่ายที่ป้ายก็มีแต่ภาษาเวียดนาม เรื่องสถานที่เที่ยวหรืออาคารส่วนใหญ่ไม่มีภาษาอังกฤษบอกไว้เลย อันนี้เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่เจอมากับตัว ยังเดินสำรวจได้ไม่เยอะมากก็ต้องเตรียมตัวมาขึ้นรถไฟเวลากันแล้ว หนึ่งทุ่มเป๊ะรถแท็กซี่ส่งเราที่สถานีรถไฟฮานอย (ระยะทางห่างจากที่พักประมาณ 3 กิโลเมตร) อย่างแรกที่ต้องทำคือมาแลกใบเอาตั๋วรถไฟก่อนครับ ซึ่งขั้นตอนก็ง่ายมากคือยื่นใบให้เขาก็พอ ในตั๋วบอกว่าผมได้ตู้ที่ 6 ครับ เดินไม่ไกลเท่าไหร่ก็มาถึงแล้ว มองจากภายนอกเห็นนักท่องเที่ยวเต็มทุกห้องเลย สภาพของโบกี้นอน (อย่างดี) บนรถไฟ พอขึ้นมาแล้วตะลึงไป 2 วินาที ตู้นอนเขาดูดีจริงๆ ชอบตรงผนังที่เป็นไม้ดูคลาสสิคมาก โคมไฟก็วินเทจสุดๆ เข้ามาแล้วอย่างกับนั่งร้านปาเต๊ะ ฮ่าๆ ที่สำคัญคือเตียงนุ่มอย่างที่อ่านในรีวิวมาเลยครับ สมราคา 90 USD ที่เสียไป ไม่นานนักรถไฟก็ออกแล้ว ผมออกเดินทางประมาณ 2 ทุ่ม จะถึงลาวไกอีกทีก็เช้ามืดของอีกวัน เป็นอันจบวันแรกของทริปนี้ครับ แก้ไขข้อความเมื่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น